11.2

รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดของกานเย (Gangnes Insfructional Model)
            ก .ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด  ดังนี้
            (ทิศนา   แขมณี. 2545 : 225 ; อ้างอิงจาก Gangne , 1985 : 70  90 ) ได้พัฒนาทฤษฎีเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition  of  Learning) ซึ่งมี 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ  ทฤษฎีการเรียนรู้และทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน   ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเยอธิบายว่า ปรากฏการณ์เรียนรู้มีองค์ประกอบ  3  ส่วน คือ
          1) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ  ของมนุษย์  ซึ่งมีอยู่  5  ประเภท คือ        
               - ทักษะทางปัญญา  (Intellectual  skill) ซึ่งประกอบด้วยการจำแนกแยกแยะ  การสร้างความคิดรวบยอด   การสร้างกฎ  การสร้างกระบวนการหรือกฎชั้นสูง       
              - กลวิธีในการเรียนรู้ (Cognitive  strategy)
              - ภาษาหรือคำพูด (verbal  information)
              - ทักษะการเคลื่อนไหว (motor  skills)
              - และเจตคติ (attitude)
          2) กระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์  มนุษย์มีกระบวนการจัดกระทำข้อมูลในสมอง   ซึ่งมนุษย์จะอาศัยข้อมูลที่สะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และในขณะที่กระบวนการจัดกระทำข้อมูลภายในสมองกำลังเกิดขึ้น   เหตุการณืภายนอกร่างกายมนุษย์มีอิทธิพลต่อการส่งเสริมหรือการยับยั้งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้   ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน    กานเยจึงได้เสนอแนะว่า  ควรมีการจัดสภาพการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท   ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน  และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ภายในสมอง   โดยการจัดสภาพภายนอกให้เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ภายในของผู้เรียน
          ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
     เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อย่างดี   รวดเร็ว และสามารถจดจำสิ่งที่เรียนได้นาน
          ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
                กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบกานเย   ประกอบด้วยการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนรวม  9  ขั้น   ดังนี้
      ขั้นที่ 1   การกระตุ้นและดึงดูดความสนใจของผู้เรียน   เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับสิ่งเร้า  หรือสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดี
      ขั้นที่ 2   การแจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบ  เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้รับรู้ความคาดหวัง
      ขั้นที่ 3   การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิมเป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจำระยะยาวให้มาอยู่ในหน่วยความจำเพื่อใช้งาน (working  memory) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
      ขั้นที่4   การนำเสนอสิ่งเร้าหรือเนื้อหาสาระใหม่ ผู้สอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียนเห็นลักษณะสำคัญของสิ่งเร้านั่นอย่างชัดเจน  เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน
      ขั้นที่5   การให้แนวการเรียนรู้  หรือการจัดระบบข้อมูลให้มีความหมาย   เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำความเข้าใจกับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น
      ขั้นที่6   การกระต้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถ   เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่เรียน   ซึ่งจะช่วยให้ทราบถึงสาระการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน
      ขั้นที่7   การให้ข้อมูลป้อนกลับ  เป็นการให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน  และข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้เรียน
      ขั้นที่8  การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรียน  เพื่อช่วยให้ผู้เรียนทราบว่าตนเองสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้มากน้อยเพียงใด
      ขั้นที่9  การส่งเสริมการคงทนและการถ่ายโอนการเรียนรู้  โดยการให้โอกาสผู้เรียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียงและในสถานการณ์ที่หลากหลาย   เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น  และสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไปสู่สถานการณ์อื่น ๆ ได้
                   ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจาการเรียนตามรูปแบบ 
                   เนื่องจากการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้   จัดขึ้นให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจำของมนุษย์   ดังนั้น  ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้สาระที่นำเสนอได้อย่างดี รวดเร็วและจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้นาน  นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูลสร้างความหมายของข้อมูล  รวมทั้งการแสดงความสามารถของตนด้วย
1.3รูปแบบการเรียนการสอนเน้นความจำ  (memory  model)

             ก .ทฤษฎี  หลักการ  แนวคิด  ดังนี้ 
            จอยส์และวิลส์ (ทิศนา    แขมณี. 2545 : 229 ; อ้างอิงจาก Joyce & Weil , 1996 : 209 - 231) ได้พัฒนาขึ้นโดยอาศัยหลัก  6  ประการเกี่ยวกับ
               1)   การตระหนักรู้ (awareness) ซึ่งกล่าวว่าการที่บุคคลจะจดจำสิ่งใดได้ดีนั้น  จะต้องเริ่มจากการรับรู้สิ่งนั้น  หรือการสังเกตสิ่งนั้นอย่างตั้งใจ  และ
               2)   การเชื่อมโยง (assosiation) กับสิ่งที่รู้แล้วหรือจำได้
               3)   ระบบการเชื่อมโยง ( link  system) คือระบบในการเชื่อมความคิดหลายความคิดเข้าด้วยกันในลักษณะที่ความคิดหนึ่งจะไปกระตุ้นให้จำอีกความคิดหนึ่งได้
               4)   การเชื่อมโยงที่น่าขบขัน (ridiculous assosiation) การเชื่อมโยงที่จะช่วยให้บุคคลจดจำได้ดีนั้น  มักจะเป็นสิ่งที่แปลกไปจากปกติธรรมดา  การเชื่อมโยงในลักษณะที่แปลก  เป็นไปไม่ได้  ชวนให้ขบขัน  มักจะประทับในความทรงจำของบุคคลเป็นเวลานาน
               5)   ระบบการใช้คำทดแทน
               6)   การใช้คำสำคัญ (key  word) ได้แก่  การใช้คำ  อักษรหรือพยางค์เพียงตัวเดียว  เพื่อช่วยกระตุ้นให้จำสิ่งอื่น ๆ  ที่เกี่ยวกันได้
               ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
                รูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระที่เรียนรู้ได้ดีและได้นาน  และได้เรียนรู้กลวิธีการจำ  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีก
               ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ   
               ในการเรียนการสอนสาระใด ๆ ผู้สอนสามารถช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาสาระนั้นได้ดีและนานโดยการดำเนินการดังนี้
               ขั้นที่1    การสังเกตหรือศึกษาสาระอย่างตั้งใจ
                            ผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนตระหนักรู้ในสาระที่เรียน  โดยการใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น  ให้อ่านเอกสารแล้วขีดเส้นใต้คำ / ประเด็นที่สำคัญให้ตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน  ให้หาคำตอบของคำถามต่าง ๆ  เป็นต้น
               ขั้นที่2   การสร้างความเชื่อมโยง 
         เมื่อผู้เรียนได้ศึกษาสาระที่ต้องเรียนรู้แล้วให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเนื้อหาส่วนต่าง ๆ  ที่ต้องการจดจำกับสิ่งที่ตนคุ้นเคย เช่น  กับคำ  ภาพ  หรือความคิดต่าง ๆ   (ตัวอย่างเช่น  เด็กจำไม่ได้ว่าค่ายบางระจัน  อยู่จังหวัดอะไร  จึงโยงความคิดว่า  ชาวบ้านบางระจัญเป็นคนกล้าหาญ  สัตว์ที่ถือว่าเก่งกล้าคือสิงห์โต  บางระจันจึงอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี) หรือให้หาหรือคิดคำสำคัญที่ไม่คุ้นหรือยากด้วยคำ  ภาพ  หรือความหมายอื่น ๆ  หรือการใช้การเชื่อมโยงความคิดเข้าด้วยกัน
                ขั้นที่3   การใช้จินตนาการเพื่อให้จดจำสาระได้ดีขึ้น  ให้ผู้เรียนใช้เทนนิคการเชื่อมโยงสาระต่าง ๆ  ให้เห็นเป็นภาพที่น่าขบขัน  เกินความเป็นจริง
ขั้นที่4   การใช้เทคนิคต่าง ๆ  ที่ทำไว้ข้างต้นในการทบทวนความรู้และเนื้อหาสาระต่าง ๆ จนกระทั่งจดจำได้  
                 ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ   
                  การเรียนโดยใช้เทคนิคช่วยความจำต่าง ๆ ของรูปแบบ  นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำเนื้อหาสาระต่าง ๆ  ที่เรียนได้ดีและได้นานแล้ว  ยังช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กลวิธีการจำ  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอื่น ๆ ได้อีกมาก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น