2.4
บทที่
1 The STUDIES Model
: การจัดการเรียนรู้และการจัดการชนเรียน
ตรวจสอบและทบทวน
สืบค้นมาตรฐานวิชาชีพครู ตามข้อบังคับคุรุสภามาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.2556
มาตรฐานด้านความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานที่ 6 การจัดการเรียนรู้เเละการจัดการชั้นเรียนนำมากำหนดจุดหมาย(Goals) การศึกษารายวิชาเพื่อการบรรลุมาคาฐานดังกล่าวนี้
1. ความสำคัญการจัดการเรียนรู้
ปัญหาของนักศึกษาครูที่เพิ่งเริ่มออกไปฝึกประสบการณ์ หรือของครูใหม่ที่ทำการสอนได้ไม่นานนักคือ การควบคุมดูแลนักเรียนให้อยู่ในระเบียบวินัยและตั้งใจเรียน
“หนูคุมชั้นเรียน คุมเด็กไม่ได้ทำยังไงดีคะ”
“นักเรียน แซวผมทุกชั่วโมงเลยทำให้ลืมสิ่งที่ตั้งใจจะสอนและทำได้ไม่เต็มที่”
“เด็กสมัยนี้ ไม่เห็นครูอยู่ในสายตา เพราะครูตีเด็กไม่ได้ พูดอะไรก็ไม่ฟัง”
เสียงบ่นต่างๆ เหล่านี้มักจะได้ยินกันอยู่เสมอๆ แม้กระทั่งจากครูที่ทำการสอนมานานและยังคงเชื่อมั่นในวิธีปกครองชั้นเรียนโดยการให้เด็กนักเรียนต้องเชื่อฟังและอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ซึ่งอาจไม่ใช่แนวทางการจัดการชั้นเรียนที่สอดคล้องกับแนวคิดของการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ที่ให้เด็กได้คิด ลงมือปฏิบัติกิจกรรม เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ครูที่สามารถดำเนินการจัดการเรียนรู้ลักษณะดังกล่าวให้ประสบผลสำเร็จจึงจะเรียกได้ว่าเป็นครูมืออาชีพความหมายที่แท้จริงของการ เป็นครูมืออาชีพคือ ครูที่มีความรู้ในเนื้อหาวิชาที่สอนมีความสามารถจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบมีประสิทธิภาพ รวมถึงต้องพัฒนาทักษะวิชาชีพของตนเองอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อมุ่งพัฒนาศักยภาพของนักเรียนอย่างแท้จริงดังนั้นการบริหารจัดการชั้นเรียนตลอดจนการสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้หรือสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่ครูมืออาชีพต้องให้ความสำคัญและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ความหมายของการจัดการชั้นเรียน
การจัดการชั้นเรียนในความหมายโดยทั่วไปคือ การจัดสภาพของห้องเรียน ที่ส่วนใหญ่เข้าใจกันว่า เป็นการจัดตกแต่งห้องเรียนทางวัตถุหรือทางกายภาพ ให้มีบรรยากาศ น่าเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนเท่านั้น แต่ถ้าจะพิจารณากันอย่างละเอียดรอบคอบแล้วการจัดการชั้นเรียนนั้น ครูจะต้องมีภาระหน้าที่มากมายหลายด้าน โดย ฮอล (Susan Colville-Hall :2 2004) ได้ให้ความหมายของการจัดการชั้นเรียนไว้ว่า เป็นพฤติกรรมการสอนที่ครูสร้างและคงสภาพเงื่อนไขของการเรียนรู้เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลขึ้นในชั้นเรียนซึ่งถือเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ การจัดการชั้นเรียนที่มีคุณภาพนั้นต้องเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและคงสภาพเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โดยสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ การให้ผลย้อนกลับและการจัดการเกี่ยวกับการทำงานของนักเรียน ความพยายามของครูที่มีประสิทธิภาพนั้นหมายรวมถึง การที่ครูเป็นผู้ดำเนินการเชิงรุก (proactive) มีความรับผิดชอบ (responsive) และเป็นผู้สนับสนุน (supportive)นอกจากนี้ได้มีนักการศึกษาหลายท่านได้กำหนดความหมายของการจัดการชั้นเรียนไปในแนวทางเดียวกัน ดังนี้โบรฟี (Jere Brophy, 1996:5) กล่าวถึงการจัดการชั้นเรียนไว้ว่า หมายถึง การที่ครูสร้างและคงสภาพสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ที่นำไปสู่การจัดการเรียนการสอนที่ประสบผลสำเร็จทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) การสร้างกฎระเบียบและการดำเนินการที่ทำให้บทเรียนมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางวิชาการในชั้นเรียนเบอร์เดน (Paul Burden, 1999:3) ให้คำจำกัดความของการจัดการชั้นเรียนไว้ว่า เป็นยุทธศาสตร์และการปฏิบัติที่ครูใช้เพื่อคงสภาพความเป็นระเบียบเรียบร้อยสุรางค์ โค้วตระกูล (2548 : 436) ได้อธิบายความหมายของการจัดการห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพว่า หมายถึงการสร้างและการรักษาสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนเพื่อเอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน หรือหมายถึงกิจกรรมทุกอย่างที่ครูทำเพื่อจะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพและนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้การจัดการชั้นเรียนจึงมีความหมายกว้าง นับตั้งแต่การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพในห้องเรียน การจัดการกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียน การสร้างวินัยในชั้นเรียนตลอดจนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครู และการพัฒนาทักษะการสอนของครูให้สามารถกระตุ้นพร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจในการเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ความสำคัญของการจัดการชั้นเรียน
การจัดการชั้นเรียนมีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการคือ
3.1 การเรียนรู้จะเกิดขึ้นไม่ได้หรือเกิดได้น้อยถ้ามีสิ่งรบกวนในชั้นเรียนอยู่ตลอดเวลาด้วยปัญหาทางด้านพฤติกรรมของนักเรียน
3.2 นักเรียนที่อยู่ในชั้นเรียนที่ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งแวดล้อมในชั้นเรียนมีเสียงดังและสิ่งรบกวน หรือการจัดที่นั่งไม่เหมาะสมอาจเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาทางวินัยนำไปสู่วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
3การแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าว หรือทำให้นักเรียนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ส่งผลให้นักเรียนไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
3.3 การกำหนดคุณลักษณะพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของนักเรียนไว้ล่วงหน้าจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการจัดการชั้นเรียน เพราะจะทำให้นักเรียนมีแนวทางในการควบคุมพฤติกรรมของตนเองโดยไม่แสดงอาการหรือพฤติกรรมที่จะเป็นการรบกวนการเรียนของผู้อื่น
3.4 ชั้นเรียนที่มีการจัดการกับพฤติกรรมของนักเรียนได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ครูสามารถดำเนินการสอนได้อย่างเต็มที่โดยไม่เสียเวลากับการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของนักเรียน
3.5 การจัดการชั้นเรียนให้นักเรียนมีวินัยในการเรียนรู้และการอยู่ร่วมกันด้วยความเอื้ออาทรโดยคำนึงถึงกฎระเบียบของชั้นเรียนอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะยังประโยชน์ต่อการเรียนรู้แล้วยังมีผลในระยะยาวคือเป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยเพื่อการเป็นพลเมืองดีในอนาคตอีกด้วยดังนั้นจึงอาจสรุปความสำคัญของการจัดชั้นเรียนได้ว่า เป็นการดำเนินการต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียน เพื่อกระตุ้น ส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ รวมถึงการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของนักเรียนโดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอนตลอดจนบรรลุผลตามเป้าหมายของการศึกษา
4. การจัดการชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้
บรรยากาศการเรียนรู้หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งในและนอกชั้นเรียนเพื่อกระตุ้นหรือส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความรู้สึกอยากเรียน มีความกระตือรือร้นสนใจในสิ่งที่เรียน การจัดบรรยากาศการเรียนรู้ จึงเป็นการจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนให้สอดคล้องกับการเรียนการสอนเพื่อช่วยสร้างบรรยากาศในการเรียนที่น่าสนใจและจูงใจให้นักเรียนไม่เบื่อหน่ายต่อการเรียน นอกจากนั้นยังช่วยแก้ปัญหาในการปกครองชั้นเรียนและแก้ปัญหาเรื่องวินัยได้อีกด้วย(สุพิน บุญชูวงศ์, 2531:155) ในขณะที่เอบบี (Eby, 1998:26) กล่าวถึงบรรยากาศชั้นเรียนว่า เป็นการรวมเอาลักษณะการจัดห้องเรียนที่เป็นระเบียบเรียบร้อย การตกแต่งห้องเรียน การควบคุมดูแลการเคลื่อนไหวและการส่งเสียงดังของนักเรียน ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพอื่น ๆ อันได้แก่ แสงสว่าง กลิ่น การจัดสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ สร้างความพึงพอใจ และความสนใจให้นักเรียนอยากเรียนรู้การจัดการชั้นเรียนจึงเป็นการดำเนินการทั้งมวล เพื่อสร้างเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ประกอบด้วย การจัดสภาพแวดล้อมให้แก่นักเรียนทั้งในและนอกห้องเรียน ทั้งทางด้านกายภาพได้แก่ การจัดห้องเรียนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างหลากหลาย ตั้งแต่การจัดโต๊ะเรียน การวารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
4ตกแต่งห้องเรียน รวมถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา ได้แก่การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน การร่วมกันสร้างกฎกติกาของการเรียนรู้ในชั้นเรียน เป็นต้นการจัดการชั้นเรียนให้บรรลุเป้าหมายได้นั้น ครูจะต้องดำเนินงานในสิ่งต่อไปนี้คือ (Jere Brophy, 1999 : 48)
4.1 การจัดเก็บ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ในชั้นเรียน
4.2 การกำหนดลักษณะการเคลื่อนไหวของนักเรียนในชั้นเรียน
4.3 การกำหนดกฎระเบียบในชั้นเรียนตั้งแต่วันแรกของปีการศึกษา
4.4 การเริ่มและการสิ้นสุดการสอนด้วยความราบรื่น
4.5 การจัดการเกี่ยวกับการเปลี่ยนกิจกรรมการเรียนในระหว่างชั่วโมงเรียน
4.6 การจัดการเกี่ยวกับการทำกิจกรรมของนักเรียน เริ่มจากการกระตุ้นให้นักเรียนสนใจบทเรียน และขจัดอุปสรรคหรือสิ่งที่จะรบกวนการเรียนให้มีน้อยที่สุด
4.7 การดำเนินงานให้การเรียนรู้เป็นไปในทางที่ครูได้กำหนดหรือวางแผนไว้
4.8 การดำเนินการเพื่อให้นักเรียนพัฒนาตามความต้องการของนักเรียนแต่ละคนงานในหน้าที่ของครูด้านการจัดการชั้นเรียนเพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ จึงเป็นงานที่ครูมีภารกิจสำคัญพอ ๆ กับการจัดการเรียนรู้นั่นทีเดียว
5. การจัดการชั้นเรียนด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
การจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เป็นการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ตลอดจนเป็นการป้องกันปัญหาด้านพฤติกรรมก่อนที่จะเกิดปัญหาขึ้นจริง แคทรีน เคเซอร์ (Catherine H. Kaser, 2000) ได้สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลการจัดชั้นเรียนทางกายภาพไว้ดังนี้งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดสิ่งแวดล้อมในชั้นเรียนพบว่า การจัดสภาพทางกายภาพมีผลต่อพฤติกรรมของทั้งครูและนักเรียน การจัดชั้นเรียนให้มีโครงสร้างที่ดีมีแนวโน้มที่จะช่วยพัฒนาความสามารถทั้งทางการเรียนและด้านความประพฤติของนักเรียน นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมในห้องเรียนยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่แสดงให้นักเรียนหรือบุคคลอื่นได้รู้ว่า ครูเห็นคุณค่าของพฤติกรรมและการเรียนรู้ของนักเรียนเพียงไร เพราะถ้าการจัดชั้นเรียนไม่เหมาะสมกับการจัดตารางเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอนที่ครูได้วางแผนไว้แล้ว อาจเป็นอุปสรรคขัดขวางการทำหน้าที่ของครูเท่าๆ กับการจำกัดวิธีการเรียนของนักเรียน นอกจากนี้การจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ดีในห้องเรียนจะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้เพราะจะทำให้พฤติกรรมที่เป็นปัญหาลดลงและสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
5.1 ปัจจัยเงื่อนไขของความสำเร็จในการดำเนินงานจัดการชั้นเรียน เคเซอร์ได้สรุปจากการสังเคราะห์ผลการวิจัยเกี่ยวกับการจัดการชั้นเรียนได้ว่า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของ
การดำเนินงานจัดการชั้นเรียนของครู ขึ้นอยู่กับปัจจัยเงื่อนไขที่สำคัญ คือ
5.1.1 การจัดที่ว่างในชั้นเรียน หมายถึงการจัดที่นั่งของนักเรียนเป็นเช่นไร
5.1.2 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน หรือนักเรียนกับนักเรียนเป็นอย่างไร
5.1.3 การเคลื่อนที่ไปรอบๆ ห้องของสมาชิกในชั้นเรียนจะทำได้ในกรณีใด
5.1.4 การรับรู้ถึงบรรยากาศ และระเบียบวินัยในภาพรวมเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดสิ่งแวดล้อมได้เสนอแนะไว้ว่า การจัดห้องเรียนควรเอื้อต่อกิจกรรมการเรียนที่หลากหลายตลอดทั้งวัน และควรจัดชั้นเรียนเพื่อให้ครูได้สอนตามความต้องการของนักเรียนทั้งด้านความรู้ สังคมและอารมณ์ของนักเรียน
5.2 ลักษณะของการจัดชั้นเรียนทางกายภาพที่ดี จากงานวิจัยในปัจจุบันพบว่าการจัดชั้นเรียนทางกายภาพที่ดีนั้นจะสะท้อนลักษณะดังต่อไปนี้
5.2.1 มีการจัดที่ว่างในชั้นเรียนอย่างชัดเจน เพื่อใช้อเนกประสงค์และเพื่อให้นักเรียนมั่นใจในการใช้ที่ว่างของตน ตัวอย่างเช่น ชั้นเรียนจะประกอบด้วยพื้นที่ทั้งในส่วนที่มีการเคลื่อนไหวอย่างพลุกพล่านได้แก่ บริเวณที่มีการใช้วัสดุอุปกรณ์ร่วมกัน และที่ว่างส่วนตัวที่นักเรียนจะทำงานได้โดยลำพัง เช่นโต๊ะในแถวของนักเรียนแต่ละคน เป็นต้น
5.2.2 ในชั้นเรียนที่มีนักเรียนมีปัญหาทั้งทางด้านการเรียนและด้านพฤติกรรมอาจแก้ปัญหาได้ด้วยการแยกออกมาอยู่ในที่ว่างมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนสงบ มีสมาธิในการทำงานได้อย่างอิสระตามลำพัง
5.2.3 มีที่ว่างส่วนตัวของนักเรียนแต่ละคน และมีพื้นที่ของนักเรียนทั้งกลุ่มใหญ่กลุ่มเล็กสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ จึงควรจัดสถานที่เฉพาะเพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนหรือระหว่างนักเรียนกับครู และอาจจะมีที่ว่างสำหรับจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ สื่ออุปกรณ์ เทคโนโลยีต่าง ๆ
5.2.4 ลักษณะที่นั่งของนักเรียนเป็นแถวเพื่อสะดวกในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาการ ในขณะที่การจัดที่นั่งแบบกลุ่ม จะทำให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
5.2.5 การจัดชั้นเรียนในบริเวณที่จำกัดและมีการใช้อย่างหนาแน่น เช่น บริเวณที่เหลาดินสอ ที่วางถังขยะหลังห้อง หรือบริเวณที่มีการเรียนการสอน ตลอดจนส่วนที่จะทำให้นักเรียนถูกรบกวนโดยง่าย ครูควรจัดให้นักเรียนนั่งห่างออกไป
5.2.6 ครูและนักเรียนทั้งชั้นควรมองเห็นกันและกันอย่างชัดเจน นอกจากนี้ลักษณะของการเคลื่อนไหวในชั้นเรียนนั้น ควรให้ครูมีโอกาสใกล้ชิดนักเรียนได้มากที่สุด
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
5.2.7 ควรจำกัดสิ่งเร้าทางการมองเห็นและการได้ยินที่จะมารบกวนความสนใจและพฤติกรรมของนักเรียนซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อการดำเนินงานในชั้นเรียน
5.2.8 การจัดที่ว่างสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษควรให้นั่งอยู่ใกล้กับครูจะทำให้เกิดผลดี เพราะการทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ครูสามารถจัดการกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาสำหรับนักเรียนเท่านั้น หากแต่ยังจะช่วยครูให้สามารถพูดส่งเสริมนักเรียนในทางบวก โดยอนุโลมหรือยินยอมทำให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมาบ้าง
5.2.9 การจัดชั้นเรียนทางกายภาพที่เป็นระเบียบเรียบร้อยจะมีประโยชน์และทำให้เกิดพลัง เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามสภาพทางกายภาพในชั้นเรียนควรจะเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะทางวัฒนธรรม และทางภาษาของนักเรียน ซึ่งควรจะเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของนักเรียน
5.3 สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดที่นั่งของนักเรียนและครู
5.3.1 การจัดที่นั่งของนักเรียน
การจัดที่นั่งของนักเรียนนั้น สิ่งสำคัญที่ครูจะต้องคำนึงถึง คือ การเลือกรูปแบบการจัดโต๊ะนักเรียนให้เหมาะสมกับวิธีการสอนของครู และการจัดที่ว่างสำหรับการเคลื่อนที่ของผู้เรียนอย่างเหมาะสม ถ้าชั้นเรียนใดมีผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเรียนร่วมอยู่ด้วย ครูควรพิจารณาจัดที่นั่งสำหรับผู้เรียนเหล่านี้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน เช่น ผู้เรียนที่มีปัญหาทางสายตาควรนั่งหน้าชั้น ผู้เรียนที่มีปัญหาออทิสติคควรนั่งใกล้ครู เป็นต้น อย่างไรก็ตามการจัดที่นั่งให้ผู้เรียนในชั้นเรียน แมคเลิด ฟิชเชอร์ และฮูเวอร์ (Joyce McLeod, Jan Fisher and Ginny Hoover,2003:6 ) ให้ข้อเสนอแนะดังนี้
1) ต้องเหมาะสมกับรูปแบบการสอนของครูหรือกิจกรรมที่ครูใช้บ่อยๆ
2) จะต้องยืดหยุ่น ดังนั้นผู้เรียนจะสามารถจัดโต๊ะเรียนในแบบอื่น ๆ
ได้สะดวก รวดเร็วและเหมาะสมกับกิจกรรม
3) จะต้องมีที่ว่างสำหรับการเคลื่อนที่ มีที่เก็บของและที่ตั้งวางอุปกรณ์
4) จัดให้มีที่ว่างและที่ส่วนตัวสำหรับผู้เรียนแต่ละคนทั้งนี้ ครูควรจะพิจารณาและใช้ความละเอียดรอบคอบในการดำเนินการกำหนดรูปแบบของการจัดที่นั่งสำหรับนักเรียนและของครูในชั้นเรียนตลอดจนการจัดที่นั่งเสริมสำหรับการทำกิจกรรมพิเศษ หรือการจัดที่นั่งสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษในชั้นเรียนแบบเรียนรวม
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
5.3.2 การจัดที่นั่งสำหรับครู
การจัดโต๊ะและที่นั่งของครูถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีอิทธิพลต่อบรรยากาศในชั้นเรียนเช่นเดียวกัน แมคเลิด ฟิชเชอร์ และฮูเวอร์ เสนอแนะแนวทางในการพิจารณาไว้ดังนี้ (Joyce McLeod
et.al., 2003:9)
1) การจัดที่นั่งครูไว้หลังห้องเรียน จะเป็นการส่งเสริมบรรยากาศของการเรียนที่เน้นนักเรียน ในขณะเดียวกันครูสามารถทำงานของตนและสามารถจับตาดูพฤติกรรมของนักเรียนไปด้วย นอกจากนั้นยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถพูดคุยกับครูได้โดยที่เพื่อนไม่ได้สังเกตเห็นอีกด้วย
2) การจัดที่นั่งครูไว้หน้าห้องเรียน เป็นการส่งเสริมบรรยากาศของชั้นเรียนแบบมีการควบคุม และครูสามารถมองเห็นความเป็นไปสภาพของห้องเรียนทั่วทั้งห้อง ในขณะที่ครูสั่งให้นักเรียนทำงาน แต่การจัดที่นั่งเช่นนี้ครูจะไม่สามารถพูดคุยกับนักเรียนเป็นการส่วนตัวได้
3) การจัดที่นั่งครูไว้กลางห้องท่ามกลางที่นั่งของนักเรียน การจัดเช่นนี้เป็นการส่งเสริมบรรยากาศของการที่ครูมีบทบาทเป็นผู้อำนวยความสะดวก นักเรียนสามารถมายังโต๊ะครูได้ง่าย แต่การจัดที่นั่งเช่นนี้ครูไม่สามารถพูดคุยกับนักเรียนเป็นการส่วนตัวได้
4) การจัดที่นั่งครูไว้นอกห้องเรียน ทำให้เห็นว่าครูมีที่ทำงานเป็นส่วนตัวดังนั้นการพูดคุยกับนักเรียนเป็นการเฉพาะจึงสามารถทำได้อย่างสะดวกแต่อาจมีปัญหาด้านการดูแลพฤติกรรมนักเรียนไม่ว่าครูจะจัดที่นั่งของตนอยู่ที่ใดของห้องเรียนสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ครูควรคำนึงคือการจัดสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะของครูด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่รกรุงรังเพราะนอกจากจะได้รับคำชื่นชมจากผู้พบเห็นแล้วยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่นักเรียนในด้านความมีระเบียบอีกด้วย
5.4 การจัดตกแต่งห้องเรียน
นอกเหนือจากการจัดที่นั่งสำหรับนักเรียนและครูแล้ว การจัดการชั้นเรียนที่ส่งเสริมบรรยากาศให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ตามเป้าหมายของบทเรียนในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี คือการจัดตกแต่งส่วนอื่นๆ ของห้องเรียน ได้แก่ การจัดมุมส่งเสริมความรู้ มุมอ่านหนังสือ ศูนย์การเรียน ป้ายนิเทศ เป็นต้น การจัดตกแต่งห้องเรียนหรือการจัดมุมเสริมประสบการณ์ในแต่ละระดับชั้น ครูควรพิจารณาถึงลักษณะเฉพาะของเด็กแต่ละวัย ดังนี้
5.4.1 ห้องเรียนระดับอนุบาลจะต้องมีมุมเสริมประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของนักเรียนทุกด้าน จึงต้องตกแต่งด้วยวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นของจริง เสมือนจริงหรือ สิ่งจำลองที่มีขนาดย่อส่วนที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของนักเรียน และควรมีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายบ้านมากที่สุด นักเรียนควรนั่งทำงานกับพื้นหรืออาจมีโต๊ะเก้าอี้ที่มีขนาดเล็กเหมาะสมกับวัย
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
ห้องเรียนควรประกอบด้วยมุมเสริมประสบการณ์และพัฒนาการทั้งสี่ด้าน คือ 1) ด้านร่างกายได้แก่มุมแต่งตัวจะประกอบด้วย เสื้อผ้า กระจก หวี เป็นต้น 2) ด้านอารมณ์ ได้แก่ มุมเครื่องดนตรี ซึ่งอาจประกอบด้วยของจริง ของจำลอง 3) ด้านสังคมได้แก่ มุมโต๊ะอาหาร มุมเกม 4) ด้านสติปัญญาได้แก่ มุมอ่านหนังสือ มุมเกมการศึกษา เป็นต้น
5.4.2 ห้องเรียนระดับชั้นประถมศึกษา การจัดมุมเสริมประสบการณ์ในห้องเรียนอาจประกอบด้วย มุมอ่านหนังสือ มุมเกม มุมวิทยาศาสตร์ สิ่งที่สำคัญคือเป็นมุมที่มีกิจกรรมหรือแหล่งการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตร เช่น มุมคณิตศาสตร์ มุมวิทยาศาสตร์ มุมภาษาไทย มุมภาษาอังกฤษ มุมสังคมศึกษา มุมศิลปะ โดยมุมต่าง ๆ เหล่านี้ครูอาจจัดรวมกันเป็นมุมเสริมประสบการณ์หรือทักษะชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความรู้ที่สัมพันธ์กับบทเรียนองค์ประกอบในมุมต่างๆ นั้น อาจประกอบด้วย หนังสือเสริมประสบการณ์ที่แยกต่างหากออกมาจากมุมอ่านหนังสือ ประกอบด้วยแบบฝึกทักษะเสริมความรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ ตลอดจนเกมการศึกษา ด้วยเหตุนี้การจัดชั้นเรียนจึงเป็นการส่งเสริมการใช้หลักสูตรให้บังเกิดผลต่อนักเรียนได้ทางหนึ่ง
5.4.3 ห้องเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครูอาจจัดมุมเสริมประสบการณ์ได้เช่นเดียวกับการจัดห้องเรียนระดับประถมศึกษา แม้ว่าทางโรงเรียนจัดเป็นห้องเรียนเฉพาะวิชา เช่นห้องวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เพิ่มมากขึ้น ห้องเรียนระดับมัธยมนี้อาจมีมุมเสริมประสบการณ์ มุมอ่าน เกมการศึกษา เป็นมุมที่จัดให้นักเรียนศึกษาหาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่กำลังเรียนเพิ่มเติมจากที่ครูสอน ทั้งนี้อาจรวมถึงหนังสือเรียน หนังสือเสริมทักษะแบบฝึกหัด แหล่งการเรียนรู้ได้แก่ สื่ออิเลคทรอนิค เช่น การสืบค้นทางอินเทอร์เนท ซีดีรอม(CD Rom) เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การจัดการชั้นเรียนทางกายภาพของโรงเรียนในบ้านเรานั้นมีสภาพ ลักษณะและมีข้อจำกัดแตกต่างอยู่มากทั้งทางด้านขนาดของห้องเรียน จำนวนนักเรียนในชั้นที่มีจนมากเกินไป รวมถึงข้อจำกัดทางด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้วยเหตุนี้ครูมืออาชีพจึงควรใช้ดุลพินิจในการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพให้เหมาะสมกับบริบทของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
6. การจัดการชั้นเรียนทางด้านจิตวิทยา
การจัดการชั้นเรียนนอกเหนือจากการสร้างบรรยากาศทางกายภาพที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนแล้ว สิ่งที่ครูมืออาชีพควรต้องศึกษา พัฒนาความสามารถของตนอยู่ตลอดเวลาคือการจัดการสิ่งต่าง ๆ ที่มีผลต่อการส่งเสริมความสนใจ ความเข้าใจ ความกระตือรือร้นในการเรียนรวมถึงการขจัดสิ่งต่างๆ ที่รบกวนหรือยับยั้งการเรียนรู้ของนักเรียน
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
ซึ่งก็ได้แก่ การจัดการสิ่งแวดล้อมทางด้านจิตวิทยานั่นเอง จึงเป็นหน้าที่ของครูมืออาชีพที่จะต้องจัดการด้านต่างๆ ในชั้นเรียนให้เป็นไปได้ด้วยดี
6.1 ความหมายของการจัดการชั้นเรียนทางด้านจิตวิทยา
การจัดการชั้นเรียนทางด้านจิตวิทยา หมายถึงการจัดการเกี่ยวกับความรู้สึก เจตคติและพฤติกรรมของนักเรียนโดยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมระเบียบวินัยในการจัดการเรียนรู้ เพื่อมุ่งให้นักเรียนสามารถพัฒนาได้อย่างสูงสุด บรรยากาศทางจิตวิทยาในแต่ละชั้นเรียนจึงขึ้นอยู่กับแนวคิดหรือความเชื่อในการจัดการศึกษาของครูหรือของสังคมในแต่ละยุคสมัย ว่ามุ่งให้นักเรียนมีการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนอย่างไร เช่น ต้องการให้ห้องเรียนเงียบสงบเพื่อให้นักเรียนทุกคนตั้งใจเรียนและมุ่งอยู่กับการทำงานตรงหน้าให้สำเร็จ ซึ่งบางครั้งห้องเรียนสงบเรียบร้อยอาจทำให้นักเรียนบางคนไม่มีความสุขและอาจเกิดปัญหาการหนีโรงเรียน เป็นต้น หรือครูบางคนอาจมุ่งให้นักเรียนมีการเรียนรู้ร่วมกัน มีการสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีการทำงานในลักษณะของการร่วมมือกันภายในกลุ่มหรือแลกเปลี่ยนกันระหว่างกลุ่มห้องเรียน ลักษณะเช่นนี้ย่อมมีความเคลื่อนไหวมีเสียงพูดคุยกันดังพอสมควรจึงแตกต่างจากห้องเรียนประเภทแรก ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะดำเนินการจัดการชั้นเรียนอย่างไรนั้น ครูมืออาชีพควรสำรวจหรือพิจารณาความเชื่อของตนเองว่ามุ่งให้นักเรียนอยู่ในชั้นเรียนด้วยความรู้สึก เจตคติ ค่านิยม และการเรียนรู้ในรูปแบบใดและมีแนวทางการดำเนินการในชั้นเรียนของตนอย่างไร
6.2 แนวคิดการจัดการชั้นเรียนของคูนิน (The Kounin Model) คูนิน(Kounin,1970 อ้างถึง
ใน H. Jerome Freiberg, 1999 : 46-47) ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับการจัดการชั้นเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัย จากการสังเกตชั้นเรียน เปรียบเทียบพฤติกรรมของการจัดชั้นเรียนบันทึกภาพกิจกรรมในชั้นเรียนที่มีการจัดการที่ดี ทั้งที่มองเห็นได้ เช่น ความมีระเบียบเรียบร้อยสวยงาม หรือมีการวางแผนที่ดี การแบ่งสัดส่วนของการใช้ประโยชน์ของชั้นเรียนอย่างชัดเจนการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หยิบใช้ได้อย่างสะดวก มีการเคลื่อนที่อย่างเป็นระเบียบ ส่วนการจัดการชั้นเรียนที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้น ได้แก่ ห้องเรียนที่ครูต้องคอยวุ่นวายกับการจัดระบบชั้นเรียนหรือการเรียนของนักเรียนถูกรบกวนตลอดเวลา หรือชั้นเรียนที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของการสอนที่เน้น
เนื้อหาทางวิชาการ
ในตอนแรกคูนิน วิเคราะห์โดยให้ความสำคัญกับสามารถของครูในการจัดการกับเหตุการณ์ที่เข้ามาขัดขวางการดำเนินงานใน ชั้นเรียน ผลการวิเคราะห์ไม่พบปัจจัยที่มีความแตกต่างชัดเจนระหว่างครูที่มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพและไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านวิธีการตอบสนองต่อนักเรียนที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือวิธีการดำเนินงานที่เป็นระบบ อย่างไรก็ตาม
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
จากวิจัย คูนินได้วิเคราะห์ติดตามผลและพบว่าครูที่สามารถจัดการชั้นเรียนที่ดีนั้นแสดงออกถึงพฤติกรรมที่สำคัญดังนี้
1) Withitness ครูจะต้องตระหนักและรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในทุกส่วนของห้องเรียนอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งในขณะที่ครูทำงานกับนักเรียนกลุ่มย่อยหรือรายบุคคลและแสดงให้เห็นถึงการติดตามพฤติกรรมของนักเรียน โดยการเข้าไปมีส่วนแก้ไขสถานการณ์ในทันทีและอย่างเหมาะสมเมื่อเกิดเหตุการณ์หรือเมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น นับเป็นพฤติกรรมสำคัญ ที่ครูจะสามารจัดการกับสิ่งผิดปกติที่กำลังจะเกิดขึ้นในชั้นเรียนโดยการสังเกตและเข้าไปอยู่ระหว่างความขัดแย้งนั้นได้ก่อน แม้จนกระทั่งเหตุการณ์ที่มีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ครูก็จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
2) Overlapping เป็นการจัดการที่ครูสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับผิดชอบต่อความต้องการของนักเรียนแต่ละคนในขณะเดียวกันก็ยังต้องสนับสนุนดูแลการทำงานของนักเรียนเป็นกลุ่มโดยการใช้สายตาในการสื่อสาร หรือใช้การใกล้ชิดทางกายเพื่อดึงความสนใจของนักเรียนให้กลับมาอยู่กับบทเรียนในขณะที่ครูยังคงดำเนินการสอนไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุดหรือขัดจังหวะแต่อย่างใด
3) Signal continuity and momentum during lessons เป็นการส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องและการเปลี่ยนกิจกรรมในระหว่างบทเรียน การสอนที่มีการเตรียมการอย่างดีและการดำเนินการสอนตามบทเรียนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญนั้น ครูจะมีความตั้งใจในการจัดการเรียนเนื้อหาวิชาอย่างต่อเนื่องมากกว่าการบังคับให้เกิดการแข่งขัน ครูจึงมีทักษะในการส่งสัญญาณให้นักเรียนที่กำลังแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ (เช่นการเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ นักเรียนที่ไม่สนใจบทเรียน หรือถามนักเรียนคนนั้นในเรื่องที่ครูกำลังสอนอยู่) เพื่อดึงความสนใจของเด็กให้กลับมาอยู่ที่บทเรียนโดยไม่รบกวนนักเรียนคนอื่นที่กำลังตั้งใจเรียน นอกจากนั้นครูจะสามารถเปลี่ยนหัวข้อเรื่องที่จะสอนหรือเปลี่ยนกิจกรรมการเรียนในระหว่างบทเรียนด้วยความราบรื่นและต่อเนื่องโดยไม่สะดุด
4) Challenge and variety in assignment เป็นการมอบหมายงานที่หลากหลายท้า
ทายเพื่อเป็นการกระตุ้นนักเรียนให้สนใจบทเรียนได้แก่การมอบหมายงานในชั้นเรียนอย่างเหมาะสมโดมีความยากง่ายพอเหมาะ คือง่ายพอที่จะแน่ใจว่านักเรียนจะได้ใช้ความพยายามในการทำงานและควรเป็นสิ่งใหม่หรือยากพอที่จะท้าทายความสามารถของนักเรียนโดยมีความหลากหลายเพื่อที่จะทำให้นักเรียนสนใจตลอดเวลาคูนินเชื่อว่าครูที่สามารถจัดการชั้นเรียนที่มีประสิทธิภาพนั้นไม่ใช่เป็นเพียงเพราะ
ความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเท่านั้น หากแต่เพราะเป็นความสามารถในการป้องกันการ
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
เกิดปัญหาตั้งแต่แรก นอกจากนี้ ครูเหล่านี้ยังเน้นการสร้างห้องเรียนให้มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ โดยการเตรียมการสอนและการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมและการให้นักเรียนทำงานตามที่ครูกำหนดให้ดีที่สุด
6.3 แนวทางในการจัดการชั้นเรียนเพื่อให้ได้ผลในเชิงปฏิบัติ
การจัดการชั้นเรียนเพื่อให้ได้ผลในเชิงปฏิบัติจริงครูมืออาชีพควรคำนึงถึงปัจจัยด้านต่าง ๆ ดังนี้
6.3.1 สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียน
สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียนถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้บรรยากาศในชั้นเรียนเป็นไปได้ด้วยดีหรือไม่เพียงใดโดยความสัมพันธ์ดังกล่าวประกอบด้วยความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน หรือนักเรียนกับนักเรียนด้วยกันเอง หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างครูในโรงเรียนหรือครูกับผู้บริหาร(Joyce McLeod et al., 2003 : 65)สัมพันธภาพระหว่างครูและนักเรียนเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญยิ่งต่อการแสดง
พฤติกรรมของนักเรียนโดยเฉพาะในวันแรกที่ครูพบกับนักเรียน บุคลิกภาพของครูอาจจะส่งผลต่อความรู้สึกทางบวกหรือทางลบแก่นักเรียนได้ เช่นถ้าการพบกับครั้งแรกครูต้อนรับนักเรียนทุกคนด้วยท่าทีอบอุ่นและเป็นมิตรจะทำให้นักเรียนมีความรู้สึกที่ดีต่อครูและห้องเรียนในทางตรงกับข้ามถ้าการเริ่มต้นวันแรกด้วยท่าทีที่เข้มงวด นักเรียนจะรู้สึกไม่สบายใจและอาจจะเลยไปถึงความรู้สึกที่ไม่ดีต่อชั้นเรียนและวิชาที่เรียนด้วย ทั้งนี้เพราะนักเรียนบางคนมาโรงเรียนด้วยความไม่ไว้วางใจผู้ใหญ่ และบางคนไม่คุ้นเคยกับผู้ใหญ่หรือคนแปลกหน้ามาก่อนแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นระบบครูควรดำเนินการดังนี้
1) เริ่มสร้างความสัมพันธ์
2) สร้างสัดส่วนของคำพูดทางบวกและทางลบอย่างสม่ำเสมอ
3) สื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจเกี่ยวกับความคาดหวังระดับสูงของตน
4) ร่วมกันควบคุมดูแลการแสดงพฤติกรรมให้เป็นไปตามความคาดหวัง
5) สร้างทางเลือกเพื่อนำไปสู่กฎกติกาในชั้นเรียน
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในห้องเรียน การร่วมมือกันทำกิจกรรมด้วยความรับผิดชอบ การทะเลาะวิวาท รวมถึงการพูดจาโดยใช้คำไม่สุภาพ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ควรอยู่ในสายตาของครูอยู่ตลอดเวลาแม้ว่าครูกำลังดำเนินการสอนหรือกำลังอธิบายเนื้อหาให้กับนักเรียนกลุ่มอื่นหรือนักเรียนทั้งชั้นอยู่ก็ตาม พฤติกรรมดังกล่าวนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของคูนินที่พบว่า ครูที่มีความสามารถในการจัดการชั้นเรียนจะสามารถติดตามพฤติกรรมในชั้นเรียนได้ตลอดเวลา(withitness) และสามารถทำหลายสิ่งได้ในเวลาเดียวกัน
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
(overlapping) ความสามารถของครูเช่นนี้จะเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านพฤติกรรมของนักเรียน อย่างไรก็ตามการที่ครูจะสามารถจัดการชั้นเรียนได้ดีนั้นจำเป็นต้องมีความตระหนักและเห็นความสำคัญในการป้องกันปัญหาด้านพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนโดยศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับนักเรียนทั้งการสังเกต ติดตามพฤติกรรมตลอดจนการพูดคุยกับนักเรียนอย่างทั่วถึงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเรียนและความคิดเห็นของนักเรียนต่อเพื่อนในห้องเมื่อพบความสัมพันธ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดปัญหา เช่น การแบ่งเป็นกลุ่ม การมีหัวโจกของกลุ่มต่างๆ หรือมีนักเรียนที่เพื่อนไม่ยอมรับเข้ากลุ่ม ปัญหาเช่นนี้ครูต้องเข้าไปดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหา เช่น เมื่อนักเรียนทะเลาะกันครูควรเข้าไปหาสาเหตุและอาจให้นักเรียนยอมรับพฤติกรรมนั้นและให้เหตุผล เพื่อให้นักเรียนยอมรับผิดและยอมรับการลงโทษตามที่ได้ตกลงกันเป็นต้น สำหรับนักเรียนที่เพื่อนไม่ยอมรับให้เข้าร่วมกลุ่มครูควรต้องหาสาเหตุและชี้แจงกลุ่มเพื่อนให้ยอมรับความสามารถที่แตกต่างกันของเพื่อน พร้อมทั้งชี้แจงถึงสิ่งที่นักเรียนต้องรับผิดชอบในการทำงานร่วมกันกับกลุ่มเพื่อน
6.3.2 บทบาทในการเป็นผู้นำของครู
ครูเป็นผู้มีบทบาทมากที่สุดในการสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้มีสภาพน่าเรียนอบอุ่น แจ่มใสหรือตึงเครียด น่ากลัว ดังนั้นสิ่งสำคัญนอกเหนือจากการที่ครูต้องระบุถึงความคาดหวังเกี่ยวกับพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของนักเรียนที่ครูต้องการแล้ว ตัวครูเองจำเป็นที่จะต้องทราบและเข้าใจความต้องการและความคาดหวังของนักเรียนที่มีต่อครูด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครูคาดหวังให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เช่นไร ครูควรเป็นแบบอย่างในการแสดงพฤติกรรมนั้นๆ เช่น ถ้าครูไม่ต้องการให้นักเรียนเข้าชั้นเรียนสายครูก็ควรเป็นแบบอย่างในการเข้าสอนตรงเวลาหรือมีเหตุผลเพียงพอที่จะเข้าสอนสาย เป็นต้นบทบาทการเป็นผู้นำของครูแต่ละประเภทจะมีผลต่อความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อ
โรงเรียนและยิ่งไปกว่านั้นอาจมีผลต่อความรู้สึกของนักเรียนที่มีต่อผู้อื่นหรือต่อตนเองอีกด้วย ไดรกเคอร์(Dreikurs อ้างถึงใน Eby, 1998:39-40 ) แบ่งประเภทของลักษณะของบุคลิกภาพและบทบาทในการเป็นผู้นำของครูออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
1) ครูที่มีลักษณะเผด็จการ(autocratic teacher) ครูที่มีลักษณะเช่นนี้เชื่อว่าตนเองมี
ความรับผิดชอบต่อการดำเนินการใด ๆ ในชั้นเรียนตั้งแต่การจัดตกแต่งห้องเรียนทางกายภาพเพื่อการจัดระเบียบในชั้นเรียน การจัดตารางเรียนที่ไม่ยืดหยุ่น จากความคิดเช่นนี้ครูจึงมีความรับผิดชอบที่จะกำหนดกฎระเบียบทั้งหมดของชั้นเรียนซึ่งรวมถึงการกำหนดบทลงโทษแก่นักเรียนที่ประพฤติผิดกฎด้วยตัวของครูเองทั้งหมด ครูที่มีลักษณะเช่นนี้มีความเชื่อว่าตนเองมีความรู้ความสามารถในเนื้อหาวิชาที่สอนจึงเน้นการถ่ายทอดความรู้โดยการจัดการเรียนการสอนที่เน้นครู
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
เป็นสำคัญทั้งในด้านการบรรยาย การแสดงความคิดเห็นและการกำหนดงานให้นักเรียนทำ นักเรียนมีหน้าที่เชื่อฟังและทำตามกฎระเบียบและงานที่ครูกำหนดให้ทำ
2) ครูที่มีลักษณะปล่อยปะละเลย (permissive) ครูประเภทนี้จะมีลักษณะโอนอ่อนผ่อนตามและไม่มีพลัง ในชั้นเรียนอาจมีกฎระเบียบเพียงเล็กน้อยให้นักเรียนได้ปฏิบัติและไม่ได้ให้ความสนใจกับการที่นักเรียนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างสม่ำเสมอ การลงโทษของครูประเภทนี้มักจะให้อภัย ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังกับนักเรียนที่ประพฤติผิดระเบียบและดูเหมือนว่าครูจะไม่มีอำนาจมากเพียงพอที่จะทำให้นักเรียนทำงานตามที่ครูกำหนด บรรยากาศในชั้นเรียนเช่นนี้จะทำให้นักเรียนรู้สึกสับสนเพราะไม่แน่ใจว่าครูต้องการให้ตนทำอะไรหรือเป็นอย่างไรจึงจะเป็นที่พึงประสงค์ของครู ลักษณะของครูประเภทนี้จะทำให้ชั้นเรียนขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพราะนักเรียนแต่ละคนก็จะทำในสิ่งที่ตนพึงพอใจโดยที่ครูก็ไม่ได้ว่าอะไร
3) ครูที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย (Democratic style) ครูที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่มีลักษณะของความเป็นเผด็จการหรือปล่อยปะละเลย แต่จะมีความมั่นคง มีเหตุผลเกี่ยวกับความคาดหวังของตนที่มีต่อการเรียนรู้และการแสดงพฤติกรรมของเด็ก ครูจะใช้การอภิปรายร่วมกับนักเรียนและให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎระเบียบของชั้นเรียนรวมทั้งกำหนดโทษหากมีการฝ่าฝืนกฎ นอกจากนี้อาจร่วมกับนักเรียนในการทบทวนกฎระเบียบของชั้นเรียนได้อยู่เสมอหากมีความจำเป็นเพื่อให้กฎระเบียบเหล่านั้นมีความเหมาะสมต่อการนำไปปฏิบัติ ครูที่เป็นประชาธิปไตยจะเป็นผู้ที่พร้อมที่จะตัดสินใจในปัญหาใด ๆ แต่ก็ยอมรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของนักเรียน ผลของการที่ครูเป็นประชาธิปไตยจะเป็นการสร้างพลังแห่งความเชื่อมั่นและความรู้สึกของการเป็นเจ้าของชั้นเรียนให้กับนักเรียนในทำนองเดียวกันก็จะทำให้ครูรู้สึกถึงบรรยากาศที่ดีในห้องเรียนนั้นๆ
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าครูมืออาชีพจึงควรเป็นครูที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยเพราะจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างบุคลิกของการมีความมั่นใจในตนเองให้แก่นักเรียน รวมทั้งเพื่อจะได้มีส่วนในการปลูกฝังเจตคติและความเป็นประชาธิปไตยให้แก่นักเรียนอีกด้วย
6.3.3 เทคนิคและทักษะการสอนของครู การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เทคนิคและทักษะการสอนของครูล้วนมีอิทธิพลต่อบรรยากาศในชั้นเรียนได้ทั้งสิ้น การสร้างแรงจูงใจ การแปรเปลี่ยนความสนใจการเปลี่ยนกิจกรรการเรียนการสอนที่หลากหลายจะทำให้เด็กไม่เบื่อเมื่อเทียบกับการที่ครูใช้วิธีสอนแบบเดียวเป็นระยะเวลายาวนานจนเกินไป เช่นการใช้วิธีสอนแบบบรรยาย ทำให้เด็กอาจเรียนรู้ได้ไม่เท่ากับที่ครูตั้งใจจะสอนเพราะเด็กเกิดความเบื่อหน่ายไม่สนใจเรียน อาจชวนเพื่อคุยหรือแกล้งเพื่อนกลายเป็นปัญหาในชั้นเรียนที่ครูจะต้องจัดการซึ่งแท้ที่จริงแล้วสาเหตุสำคัญอาจอยู่ที่ตัวครูเองก็เป็นได้ ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่ครูควรจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับ
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
การจัดการชั้นเรียนคือ การที่ครูจะต้องเตรียมการสอนโดยยึดหลักที่สำคัญในการพิจารณาเลือกใช้วิธีสอนที่หลากหลาย มีความเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาและสอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนนอกจากนี้ควรเลือกใช้ทักษะและเทคนิคการสอนที่ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจในบทเรียนมากขึ้นดังนี้
1) การสร้างแรงจูงใจในบทเรียน ความสนใจหรือความต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องใด ๆ สำหรับนักเรียนอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาหรือเพียงบางครั้ง บางเรื่องหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย แตกต่างกันไปไปตามลักษณะวัย และความสามารถของเด็กแต่ละคน ครูจึงควรสร้างแรงจูงใจให้แก่เด็กอย่างต่อเนื่อง บทบาทของครูในการสร้างแรงจูงใจในการเรียนเช่น การเลือกกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมจะสามารถขจัดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียนทั้งยังเป็นการส่งเสริมชั้นเรียนให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้อีกด้วย
2) จัดการเรียนรู้ที่มีรูปแบบการสอนที่หลากหลายและใช้เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ การมีส่วนร่วมของนักเรียนในการวางแผนหลักสูตรและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนใช้ทักษะทางสังคมเช่น นักเรียนใช้เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ เป็นต้น
3) การแปรเปลี่ยนวิธีสอนให้หลากหลาย เช่นการเปลี่ยนกิจกรรมการเรียนรู้ การเปลี่ยนบทบาทของผู้เรียน หรือการใช้แหล่งหรือสื่อการเรียนรู้หลายประเภท
4) การกำหนดงานให้นักเรียน ปฏิบัติระหว่างเรียนที่สอดคล้องกับบทเรียนและตรงตามความสนใจของนักเรียนและเนื้อหาวิชาที่เรียน
6.3.4 การสร้างกฎระเบียบร่วมกันระหว่างครูกับนักเรียน
การกำหนดกฎระเบียบของชั้นเรียน ถือเป็นสิ่งจำเป็นและเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการในชั้นเรียนของครู ไม่ว่ากฎระเบียบเหล่านั้นจะกำหนดขึ้นจากครูเอง จากความร่วมมือกันระหว่างครูกับนักเรียนหรือจากนักเรียนที่สามารถกำหนดกฎกติกาของการอยู่ร่วมกันขึ้นเองโดยการแนะนำหรือการมีครูเป็นที่ปรึกษา ไม่ว่าแนวคิดในการจัดการชั้นเรียนจะเน้นที่อำนาจของครู หรือเน้นความความรับผิดชอบของนักเรียน หรือแม้กระทั่งเน้นความเป็นตัวของตัวเองของนักเรียนก็ตามเพราะด้วยความเชื่อที่ว่าการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมจำเป็นที่จะต้องมีกฎกติกาของการอยู่ร่วมกันการเคารพสิทธิของผู้อื่น การปฏิบัติหน้าที่ของตนเองด้วยความรับผิดชอบ ตลอดจนการปฏิบัติตามกฎกติกาที่ได้กำหนดไว้ด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้ครูต้องชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจและยอมรับว่าการปฏิบัติตามกฎระเบียบในชั้นเรียนจะทำให้นักเรียนสามารถที่จะเรียนรู้อย่างราบรื่น ปราศจากอุปสรรคด้วยศักยภาพสูงสุดที่มีอยู่ในตนเอง ทั้งยังเป็นการวางพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันแบบ
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
ประชาธิปไตยเพื่อการเป็นสมาชิที่ดีของสังคม อีกด้วย แนวทางการปฏิบัติจริงในชั้นเรียนเกี่ยวกับการกำหนดกฎระเบียบที่เหมาะสมครูที่เป็นครูมืออาชีพอาจดำเนิน การได้มีดังนี้
1) ในช่วงสัปดาห์แรกของการเปิดภาคเรียนในแต่ละปีการศึกษา ครูอาจเริ่มต้นด้วยการกำหนดความคาดหวังของครูที่มีต่อการแสดงพฤติกรรมของเด็กทั้งในด้านการเรียนและการปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อน ซึ่งความคาดหวังเหล่านี้อาจรวมถึงการแจ้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรซึ่งสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดไว้แล้วในหลักสูตร นอกจากนี้ครูอาจกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของเด็กเพิ่มเติมจากลักษณะเฉพาะของเด็กในแต่ละวัยที่เป็นรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น
2) กำหนดกฎระเบียบของชั้นเรียนโดยระบุเป็นข้อๆ แนวทางในการกำหนดกฎระเบียบที่นักเรียนในแต่ละชั้นเรียนจะต้องปฏิบัติตามนั้นครูอาจทำได้ดังนี้
2.1) เขียนด้วยข้อความที่สั้นกระชับเข้าใจง่ายและครอบคลุบ การกำหนดกฎระเบียบหากเขียนด้วยถ้อยคำที่ยากและซับซ้อนเกินไปทำให้เด็กเข้าใจสับสนหรือจดจำยากก็อาจทำให้เด็กไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม
2.2) ควรเป็นกฎระเบียบที่ครูเห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ และเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันในชั้นเรียนของนักเรียน เช่นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อน การส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด
2.3) ควรเป็นกฎระเบียบที่ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมที่ต้องการจะบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้เพราะกฎกติกาในชั้นเรียนส่วนใหญ่กำหนดขึ้นเพื่อมุ่งให้นักเรียนได้สามารถพัฒนาความสามารถทางการเรียนให้บรรลุจุดประสงค์ การจัดการชั้นเรียนจึงเป็นการขจัดสิ่งที่จะเป็นอุปสรรคที่จะรบกวนการเรียนรู้ของเด็กให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดโดยมีครูคอยดูแลช่วยเหลือ
2.4) การให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการพิจารณาปรับปรุง กฎระเบียบกติกาของห้องเรียน ครูอาจเป็นผู้มีบทบาทในการกำหนดกฎระเบียบของห้องเรียนในระยะแรกของการเรียนหรือระยะต้นปีการศึกษาแต่ในระยะเวลาต่อมาเมื่อนักเรียนและครูเริ่มคุ้นเคยวิธีเรียนและวิธีสอนของแต่ละฝ่ายแล้ว นักเรียนอาจมีบทบาทมากขึ้นในการปรับปรุงกฎเกณฑ์ของการอยู่ร่วมกันในชั้นเรียนให้เหมาะสมกับสภาพของนักเรียน เช่นการที่ครูกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเข้าชั้นเรียนสายไว้แต่เมื่อพบว่านักเรียนในชั้นเรียนทุกคนไม่ได้ประพฤติผิดกฎในข้อนี้เลยและทุกคนมีความกระตือรือร้นที่อยากจะเข้าห้องเรียนทุกครั้ง กฎระเบียบข้อนี้จึงไม่จำเป็นสำหรับเด็กกลุ่มนี้อีกต่อไปโดยอาจจะมีการเพิ่มเติมกฎระเบียบอื่นที่นักเรียนเห็นว่าจำเป็นเช่น การไม่แย่งกันพูด หรือพูดเสียงดังจนเกินไป เป็นต้น
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
2.5) กฎระเบียบที่ดีควรจะระบุผลที่ตามมาของการไม่ปฏิบัติตามกฎซึ่งอาจเรียกว่าเป็นบทลงโทษ อาจเป็นเงื่อนไขหรือข้อตกลงร่วมกันระหว่างนักเรียนเช่นการให้ทำงานเพิ่ม การช่วยเหลือเพื่อนมากขึ้นโดยบทลงโทษที่กำหนดขึ้นควรเป็นที่ยอมรับของนักเรียนและอาจจะต้องพิจารณาการเปลี่ยนแปลงบทลงโทษโดยใช้วิธีการใหม่ ๆ หากมีการผิดซ้ำอีกเพราะบางครั้งวิธีลงโทษที่กำหนดไว้ล่วงหน้าอาจไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาหรือหยุดพฤติกรรมนั้นแต่กลับกลายเป็นการเสริมแรงทางบวกให้นักเรียนได้แสดงพฤติกรรมที่มีปัญหานั้นเพิ่มมากขึ้นตัวอย่างเช่น ครูคาดโทษนักเรียนที่ทำผิดโดยเขียนชื่อนักเรียนไว้บนกระดานหรือการทำโทษหน้าชั้นเรียน วิธีการเช่นนี้อาจเป็นแรงเสริมให้นักเรียนทำความผิดซ้ำอีกเพราะตนเองได้กลายเป็นจุดเด่นของชั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของห้องแม้จะเป็นไปในทางลบก็ตาม เมื่อเป็นเช่นนี้ครูควรปรับเปลี่ยนวิธีการลงโทษไปเป็นวิธีอื่นที่จะทำให้เด็กรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนและจะไม่ได้รับการยอมรับหรือได้รับความสนใจจากกลุ่มเพื่อน ในขณะเดียวกันนักเรียนที่มีความประพฤติดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบของชั้นเรียนอย่างสม่ำเสมอก็ควรได้รับการยกย่องชมเชยตามวาระโอกาสที่เหมาะสม เพื่อเป็นการเสริมแรงให้เด็กเหล่านี้ได้แสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ต่อไป
6.3.5 การสื่อสารกับนักเรียน การใช้การสื่อสารกับนักเรียนเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญเพื่อให้ครูมืออาชีพสามารถจัดการกับพฤติกรรมของนักเรียนทั้งเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่ครูสามารถใช้ในการจัดการชั้นเรียนได้อย่างมีเหมาะสม เป็นการสื่อสารของครูกับนักเรียนทั้งในระหว่างการดำเนินการสอนหรือการดูแลเด็กในระหว่างการปฏิบัติงานกลุ่มหรือการทำงานตามลำพัง ทักษะการสื่อสารที่ครูมืออาชีพควรใช้ ประกอบด้วย
1) การสื่อสารด้วยคำพูด โดยทั่วไปการสื่อสารประกอบด้วยสองส่วนคือทักษะการส่งสาร (sending skill) และทักษะการรับสาร (receptive skill) ในการจัดการชั้นเรียนครูจำเป็นต้องใช้การสื่อสารกับนักเรียนทั้งการส่งสารซึ่งโดยทั่วไปครูใช้การส่งสารกับนักเรียนในสามด้านดังนี้คือ
1.1) เพื่อระบุความต้องการที่ครูอยากจะให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
1.2) เพื่อแจ้งผลการกระทำของนักเรียน
1.3) เพื่อเสนอความคาดหวังทางบวกที่มีต่อนักเรียนครูควรใช้คำพูดที่เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งคำพูดประเภทนี้ควรเป็นเสียงที่อบอุ่นเป็นกันเอง ยอมรับ เห็นใจ เข้าใจ ถ้าเป็นคำถามควรเป็นคำถามที่ให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นและครูควรยอมรับความคิดเห็นนั้น ๆ หรือถ้ามีการแก้ไขปรับปรุงควรเป็นไปในทางบวก
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
ทักษะการรับสารสำหรับครูเป็นทักษะการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ การกระตุ้นให้เด็กคิดและแสดงความคิดเห็นของตนออกมาจะทำให้ครูเข้าใจถึงความรู้พื้นฐานหรือความรู้สึกนึกคิดของเด็กเพื่อจะได้แก้ไขและป้องกันปัญหาอันเกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่างครูกับนักเรียนหรือนักเรียนกับนักเรียนเองเพื่อให้การดำเนินการในชั้นเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพการใช้ทักษะการสื่อสารด้วยคำพูด ครูอาจต้องใช้เทคนิคอื่นๆ เพื่อเป็นการป้องปรามพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน เช่น ในขณะที่ครูกำลังพูดอยู่หน้าชั้นเรียนกับนักเรียนทั้งชั้นและเห็นนักเรียนกำลังคุยกันโดยไม่สนใจในสิ่งที่ครูพูด บรรยายหรืออธิบายครูอาจต้องหยุดพูดชั่วขณะเพื่อให้นักเรียนรู้สึกตัวและหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้น
2) การสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูด กิริยาท่าทางการแสดงออกของครูก็เป็นสิ่งสำคัญในการสื่อสารให้นักเรียนทราบว่า ณ ขณะนั้นครูต้องการให้นักเรียนทำอะไร เช่นไม่คุยกัน สนใจบทเรียน เป็นการป้องกันปัญหาด้านพฤติกรรมได้ดีวิธีหนึ่ง ได้แก่ การแสดงออกทางสีหน้าและสายตา ครูอาจใช้การสบตาเพื่อให้นักเรียนทำหรือไม่ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น เมื่อครูถามคำถามเสร็จแล้วครูอาจสบตานักเรียนคนใดคนหนึ่งเพื่อขอคำตอบหรือขอความคิดเห็นโดยครูอาจไม่ต้องเรียกชื่อเด็กคนนั้นเลย หรือครูใช้การสบตาเด็กที่กำลังทำงานอื่นในขณะที่ครูกำลังอธิบายเนื้อหาในบทเรียน นักเรียนที่เกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการสื่อสารของครูจะสามารถสื่อสารกับครูได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ เลยแม้แต่คำเดียว นอกจากนี้ครูอาจใช้การแสดงสีหน้าเรียบเฉยเพื่อสื่อสารให้นักเรียน ทราบว่ากำลังแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่น กำลังล้อเลียนเพื่อนหรือเรียกร้องความสนใจจากครู เมื่อครูไม่สนใจจะทำให้นักเรียนหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์นั้นลงไปได้ หรือครูอาจแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสให้กับนักเรียนที่ตอบคำถามครูได้ เป็นต้นนอกจากนี้ครูอาจใช้ท่าทางในสื่อสารกับนักเรียนในกรณีต่าง ๆ ขณะที่ครูกำลังสอน ได้แก่การเดินเข้าไปใกล้เด็กคนใดคนหนึ่งเพื่อเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจเด็กที่มีความไม่มั่นใจในการแสดงออกหรือการพูดแสดงความคิดเห็น การที่ครูเดินเข้าไปใกล้ ยิ้มหรือพยักหน้าให้เด็กจะทำให้เด็กมีกำลังใจและกล้าที่จะพูด หรือครูอาจใช้การเดินเข้าไปใกล้เด็กเพื่อเป็นการสื่อสารให้เด็กหยุดการกระทำที่เป็นปัญหาเช่นการเล่นหรือแกล้งกันในชั้นเรียน
3) การประชุมร่วมกัน เป็นการสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนทีมีประสิทธิภาพเพราะการที่สร้างความเข้าใจกันได้ดีนั้นคือการสื่อสารสองทาง ซึ่งการประชุมร่วมกันที่ครูใช้กับเด็กเป็นวิธีการของการสื่อสารสองทางที่ได้ผลดียิ่ง และควรเป็นการประชุมที่มีการอภิปรายและเสนอแนะไม่มีการตำหนิใคร เป็นการประชุมเพื่อทราบปัญหาที่แท้จริง และหาวิธีการแก้ไขปัญหาเด็กจะไม่จับผิดผู้อื่น ไม่ตำหนิผู้อื่น หรือหาวิธีการลงโทษผู้อื่น การประชุมเช่นนี้ทำให้นักเรียนเกิด
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
ความร่วมมือร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาและครูเองก็จะได้ทราบถึงความสามารถความต้องการและเหตุผลของนักเรียนในประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนอันจะนำไปสู่ชั้นเรียนที่มีวินัย มีความร่วมมือและมีความไว้เนื้อเชื่อใจกันต่อไป
7. บทสรุป
ปัจจัยสำคัญของการจัดการชั้นเรียนนอกจากจะอยู่ที่ ตัวครู และ เทคนิคการสอนของครูแล้วการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนเพื่อสร้างบรรยากาศทางกายภาพ รวมทั้งการสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กสร้างวินัยในการควบคุมตนเองและระงับยับยั้งพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทั้งนักศึกษาครู ครูใหม่หรือแม้แต่ครูที่มีประสบการณ์จะต้องฝึกฝนพัฒนาทักษะและเทคนิคการจัดการชั้นเรียนจนเรียกได้ว่าเป็นมือครูอาชีพ จึงจะสามารถดำเนินการในชั้นเรียนได้อย่างราบรื่นโดยปราศจากปัญหาอุปสรรคและสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีการที่ครูจะดำเนินการจัดการชั้นเรียนในรูปแบบใดนั้น สิ่งที่ครูควรพิจารณาและคำนึงถึงนอกเหนือจากความเชื่อของครูเองแล้ว รูปแบบของการจัดชั้นเรียนยังต้องเหมาะสมกันสภาพลักษณะนิสัยของนักเรียน ความเชื่อค่านิยม พื้นฐานที่เป็นวัฒนาธรรมประเพณีของไทย การยอมรับหรือความคาดหวังของสังคม ชุมชน ผู้ปกครองที่มีต่อนักเรียนและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของสังคมประเทศชาติ ดังนั้นหน้าที่ของครูมืออาชีพ คือศึกษาความเป็นไปได้และเลือกแนวทางที่สอดคล้องเหมาะสม ทุก ๆ ด้านแล้วจึงกำหนดเป็นแนวทางการสร้างวินัยในชั้นเรียนของตนเพราะห้องเรียนแต่ละห้องก็จะมีลักษณะของการจัดการที่แตกต่างกันไปตามบริบทของชุมชนของสถานศึกษาแต่ละแห่งบุคลิกภาพของครูที่เป็นกันเองและความสามารถในการสื่อสารให้นักเรียนเข้าใจยอมรับกฎระเบียบและกติกาของการอยู่ร่วมกันในชั้นเรียน ถือเป็นลักษณะที่พึงประสงค์ของครูมืออาชีพที่
จะสามารถดำเนินการจัดการชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วารสารครุศาสตร์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 เดือน มีนาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น