4.3
การออกแบบและพัฒนาภาระงาน
Hernan, J.
L, Aschbacher, P. R., and Winters, L. (1992 อ้างถึงในชอบลีซอ
(2555) การประเมินตามสภาพจริงสำนักทดสอบทางการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ)
การออกแบบและพัฒนาภาระงานที่อาศัยหลักวิชาการวิเคราะห์ความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระในระดับมืออาชีพขั้นตอนการสร้างภาระงานมีดังต่อไปนี้
1. การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน
โดยเริ่มจากพิจารณาและวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรผลการเรียนที่คาดหวังหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพื่อที่จะสามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ผู้สอนควรตั้งปัญหาถามตนเอง 5 ข้อเพื่อที่จะระบุหรือกาหนดความรู้และความสามารถที่ผู้เรียนจะได้รับจากการปฏิบัติภาระงานคือ
1) ทักษะทางปัญญาและคุณลักษณะที่สำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้และพัฒนาคืออะไรเช่นการสื่อสารด้วยการเขียนอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพการวิเคราะห์ประเด็นปัญหาโดยใช้ข้อมูลขั้นปฐมภูมิและจากเอกสารอ้างอิงการใช้หลักพีชคณิตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันเป็นต้น
2) ทักษะและคุณลักษณะทางสังคมและจิตพิสัยที่ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียนคืออะไรเช่นการทำงานโดยอิสระการปฏิบัติโดยร่วมมือกับผู้อื่นความมั่นใจในความสามารถของตนและการรู้จักรับผิดชอบเป็นต้น
3) ทักษะความคิดระดับสูงและอภิปัญญา (Mete-counition) ที่ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียนคืออะไรเช่นการใคร่ครวญตรึกตรองทบทวนกระบวนการทำงานของตนผู้เรียน)
การประเมินประสิทธิภาพของกลวิธีที่ตน (ผู้เรียน)
ใช้การพิจารณาและประเมินความก้าวหน้าของตนเอง (ผู้เรียนเป็นระยะ ๆ เป็นต้น
4) ความสามารถที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความสามารถอะไรเช่นความสามารถในการวางแผนศึกษาค้นเพื่อหาคำตอบให้กับประเด็นปัญหาที่กำหนดให้ความสามารถจำแนกประเภทปัญหาที่สามารถใช้หลักการทางเรขาคณิตแก้ได้การแก้ปัญหาที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแน่ชัดเป็นต้น
5) หลักการทางวิชาการและความคิดรวบยอดที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้คืออะไรเช่นการใช้พลักการทางนิเวศวิทยากำหนดแนวปฏิบัติในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์การใช้หลักคณิตศาสตร์ไตรยางค์ในการแก้ปัญหาเรื่องการซื้อขายเป็นต้น
2. ออกแบบภาระงานที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะ (จากข้อ 1)
ลักษณะสำคัญของงานคือต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนมีความท้าทายแต่ไม่ยากเกินไปจนผู้เรียนทำไม่ได้และในขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสำคัญทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้งเพื่อให้สามารถนำผลการประเมินไปใช้ได้อย่างสมเหตุสมผงและน่าเชื่อถือ
Hern et al.
(1992) ได้เสนอประเด็นคำถามสำคัญเพื่อให้ผู้สอนพิจารณาในขั้นตอนนี้คือ 1) เวลาจะต้องใช้เวลาเท่าไรผู้เรียนจะพัฒนาความรู้และทักษะที่เป็นเป้าหมายของการปฏิบัติงานในระยะเวลาเท่าไรจึงจะเหมาะสมเนื่องจากการพัฒนาความคิดรวบยอดที่สำคัญและทักษะกระบวนการติตระดับสูงความรู้ทักษะมักจะใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้ยาวนานพอสมควรผู้สอนผู้ออกแบบควรจะกำหนดเวลาที่เหมาะสมตามประเภทของสาระสำคัญและความลึกซึ้งของทักษะและวัยระดับชั้นเรียนหรือพัฒนาการด้านสติปัญญาของผู้เรียน
2)
จะมีหลักการอย่างไรในการเลือกความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่มีจำนวนมากและหลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่กำหนดหลักการสำคัญคือพิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้ให้ความสำคัญกับความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษาและความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่มีขอบเขตการใช้ประโยชน์กว้างขวางและใช้ได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
3) พิจารณาโลกแห่งความเป็นจริงผู้สอนผู้ออกแบบควรให้ความเส้าคัญต่อความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นจริงไม่ควรให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นเพียงคมคติแต่ไม่สามารถบรรลได้ในความเป็นจริง
3. การกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน (Kubrics)
หรือเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจนเป็นปรนัยเป็นที่ยอมรับและสามารถสะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธิ์ทางด้านความรู้ทักษะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์เกณฑ์การให้คะแนนส่วนมากมักจะอยู่ในรูปตาราง
2 มิติประกอบด้วย
ส่วนหัวของ Rows จะแสดงระดับคุณภาพของความรู้ทักษะหรือความสามารถของแต่ละ Colurn จำนวน Rows จะขึ้นอยู่กับจำนวนของระดับคุณภาพที่ต้องการใช้และส่วนมากจะอยู่ระหว่าง
2-3 ระดับ
ช่องแต่ละช่องในตารางจะมีค้าบรรยายถึงระดับคุณภาพแต่ละระดับของความรู้ทักษะหรือความสามารถที่ประเมินภาระงานแต่ละชิ้นควรจะมีเกณฑ์การประเมินเฉพาะตัวเกณฑ์การประเมินที่ออกแบบมาอย่างดีจะให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนว่าจะต้องแสดงความสามารถด้านใดออกมาในระดับใดจึงจะได้คะแนนเท่าไรเกณฑ์การประเมินยังเป็นเครื่องมือให้ผู้สอนสามารถประเมินผู้เรียนอย่างเป็นปรนัยและได้ผลการประเมินที่น่าเชื่อถือนอกจากนี้ควรจะมีตัวอย่างผลงานพร้อมทั้งระดับคะแนนแต่ละด้านให้นักเรียนได้ศึกษาประกอบด้วย
หมายเหตุผู้สอนผู้ออกแบบควรจะภาระงานไปทำการตรวจสอบทบทวนแล้วนำไปทดลองใช้ในภาคสนามน้าผลกลับมาศึกษาวิเคราะห์และปรับปรุงแก้ไขก่อนจะนำไปใช้ในสถานการณ์จริงต่อไป
การสอนเพื่อความเข้าใจ:
การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ
การกำหนดจุดหมายที่พึงประสงค์ในการสอนเพื่อความเข้าใจครูจะพิจารณาว่านักเรียนมีความรู้พื้นฐานที่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าและน่าจะรู้อะไรบ้างแล้วจากนั้นกำหนดขอบข่ายให้แคบลงว่านักเรียนควรมีสิ่งที่จำเป็นต้องรู้และจำเป็นต้องทำนักเรียนควรทำความเข้าใจในเรื่องใดและควรทำอะไรได้บ้างควรมีความเข้าใจที่ยั่งยืนอะไรบ้างครูจะต้องพิจารณาวิธีการประเมินซึ่งจะสะท้อนให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องลุ่มลีกกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก
(ระบุหลักฐานและเกณฑ์ในการประเมินผลชัดเจน)
จึงจะสามารถพัฒนาให้เกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกซึ้ง
การออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ
(Backward Design)
Wiggin ได้เสนอเสนอกระบวนการออกแบบการเรียนรู้ที่ย้อนกลับจากจุดหมายการเรียนรู้และมาตรฐานที่กำหนดไว้โดยเริ่มจากจุดหมายการเรียนรู้ที่พึงประสงค์จากนั้นจึงออกแบบพลักสูตรออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้และออกแบบการประเมินผลการเรียนรู้ไปพร้อม
ๆ
กันเริ่มจากเจะวิเคราะห์ตั้งแต่ช่วงแรกของการออกแบบหลักสูตรว่าหากนักเรียนบรรลุจุดหมายที่กำหนดไว้จะต้องพิจารณาจากสิ่งใดหรือจากหลักฐานอะไรจึงจะถือว่านักเรียนได้เกิดความเข้าใจในระดับที่พึงประสงค์วิธีการนี้จะช่วยให้ครูมีความชัดเจนในเรื่องจุดหมายและออกแบบให้มีความสอดคล้องกันระหว่างกิจกรรมการเรียนการสอนและจุดหมายที่พึงประสงค์การออกแบบแบบย้อนกลับ
(blackward design) จะมี 3 ขั้นตอนดังนี้
1 การกำหนดจุดหมายในการจัดการเรียนรู้
2 การกำหนดหลักฐานที่แสดงว่านักเรียนได้บรรลุจุดหมายการเรียนรู้ที่กำหนดไว้
3 การวางแผนจัดประสบการณ์การเรียนรู้
การกำหนดจุดหมายในการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนจะพิจารณาว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานที่เป็นสาระสำคัญและรู้อะไรแล้วกำหนดขอบข่ายว่านักเรียนจำเป็นต้องรู้สาระอะไรและจะต้องทำอะไรได้ผู้เรียนควรทำความเข้าใจในเรื่องไตควรทำอะไรได้บ้างและควรมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกและยั่งยืนในเรื่องใด Wipein ได้เสนอเกณฑ์พิจารณากำหนดจุดหมาย 4 ประการ
ได้แก่
1. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นเป็นประเด็นหลักที่จะมีคุณค่านอกบริบทการเรียนการสอนในห้องเรียนหรือไม่ความเข้าใจที่ยั่งยืนต้องไม่เป็นเพียงข้อมูลหรือทักษะเฉพาะเรื่องเท่านั้นแต่จะต้องเป็นเรื่องหลักประเด็นหลักที่สามารถนำไปปรับประยุกต์ในสถานการณ์อื่นๆนอกห้องเรียน
2. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นเป็นหัวใจของศาสตร์ที่เรียนหรือไม่นักเรียนควรมีโอกาสผ่านกระบวนการของศาสตร์นั้น
ๆ เพื่อจะได้เรียนรู้ว่าองค์ความรู้ในศาสตร์นั้นๆเกิดขึ้นได้อย่างไร
3. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นต้องมีการดูแลเป็นพิเศษเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจเพียงใดมีเนื้อหาสาระเป็นจำนวนมากที่ซับซ้อนยากและเป็นนามธรรมเป็นที่นักเรียนจะเข้าใจได้ด้วยตนเองหัวข้อเหล่านี้ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษและควรบรรจุในการเรียนการสอนมากกว่าเนื้อหาที่เข้าใจง่ายที่นักเรียนอาจเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
4. จุดหมายในการจัดการเรียนรู้นั้นเอื้อต่อการมีส่วนร่วมของนักเรียนมีหลายหัวข้อหลายกิจกรรมที่นักเรียนสนใจตามวัยอยู่แล้วสามารถเลือกมาใช้เพื่อเป็น“ประตู
"ไปสู่เรื่องอื่นที่ใหญ่กว่าหากสามารถเชื่อมโยงเรื่องที่เรียนไปสู่เรื่องที่นักเรียนสนใจจะช่วยทำให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องด้วยตนเองต่อไป
การวางแผนการจัดการเรียนรู้
เมื่อมีความชัดเจนเกี่ยวกับจุดหมายการเรียนรู้และหลักฐานที่เป็นรูปธรรมแล้วผู้สอนสามารถเริ่มวางแผนการจัดการเรียนรู้ได้โดยอาจตั้งคำถามดังต่อไปนี้
ความรู้และทักษะอะไรจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถตามจุดหมายที่กำหนดไว้
กิจกรรมอะไรจะช่วยพัฒนานักเรียนไปสู่จุดหมายดังกล่าว
สื่อการสอนซึ่งจะเหมาะสมสำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ข้างต้น
การออกแบบโดยรวมสอดคล้องและลงตัวหรือไม่
อ้างอิง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น