5.1

บทที่ 4
การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
(Universal Design for Instruction)
          U : การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for Instruction UDI) เป็นการออกแบบการสอนที่ผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ดำเนินการเชิงรุก (proactive - ะการกระทำโดยไม่ต้องมีสิ่งใดมากระตุ้น) เกี่ยวกับการผลิตและหรือจัดหาจัดทำหรือชี้แนะผลิตภัณฑ์การศึกษา (educational products (computers websites , software, textbooks, and lab  equipment) และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (dormitories, classrooms, Student Union, buildings libraries, and distance learning courses). ที่จะระบุถึงในทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน
          การออกแบบการเรียนการสอนนำความรู้จากหลายสาขาวิชามาประยุกต์เข้าด้วยกันเป็นขั้นตอนกระบวนการเชิงระบบเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนโดยพื้นฐานแล้ววิธีการเชิงระบบกำหนดให้ต้องระบุว่าละเรียนอะไรวางแผนการสอนว่าจะยอมให้การเรียนรู้อะไรเกิดขึ้นวัดผลการเรียนรู้เพื่อตัดสินว่าการเรียนรู้นั้นบรรลุตามจุดประสงค์หรือไม่และกลั่นกรองตัวสอดแทรก (intervention) จนกระทั่งบรรลุจุดประสงค์จากลักษณะนี้เองจึงทำให้เกิดแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป (generic Instruction Design model: ID model) ขึ้น (Gibbons 1981 5. Hannum and Hansen, 1989)
          เกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนนี้แฮนนัมและบริกส์ (Hanmum and Briggs) ได้เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมและการเรียนการสอนเชิงระบบดังรายละเอียดในตารางที่ 11
          ในการออกแบบการเรียนการสอนกระบวนการมีความสำคัญพอๆกับผลิตผลเพราะว่าความเชื่อมั่นในผลิตผลจะขึ้นอยู่กับกระบวนการในการที่จะมีความเชื่อมั่นในผลิตผลต้องดำเนินตามขั้นตอนของแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนสำหรับในแต่ละขั้นตอนนั้นลำดับขั้นตอนของแบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนสำหรับในแต่ละขั้นตอนนั้นลำดับขั้นของภาระงานจะต้องแสดงออกมาและผลที่ได้รับที่มีความเฉพาะเป็นพิเศษก็จะเกิดขึ้นดังรายละเอียดในตารางที่ 11
          บทบาทของผู้ออกแบบการเรียนการสอน (designer 's role) สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นำเสนอว่าต้องอาศัยเทคนิคหรือไม่ต้องอาศัยเทคนิคและขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของทีมการออกแบบเนื้อหาที่ต้องใช้เทคนิคสูงผู้ออกแบบจำเป็นต้องให้คำแนะนำในการออกแบบกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา (content expert) ถ้าเนื้อหานั้นไม่ต้องใช้เทคนิคที่สูงมากจนเกินไปผู้ออกแบบก็สามารถจัดทำได้อย่างอิสระมากขึ้นด้วยความช่วยเหลือของผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาผู้ออกแบบสามารถที่จะทำงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาจากภายนอกและรับผิดชอบภาระงานทั้งหมดเหมือนกับเป็นคนในสำนักงาน (in-house employers) ซึ่งได้รับ
ความช่วยเหลือจากผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาบทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลายความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาบทบาทของผู้ออกแบบสามารถมีได้หลากหลายความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาวิชาดังตัวอย่างทั้งสาม (Seels and Glasgow, 1990: 7-9) คือ   
          1. ผู้ชำนาญการด้านเนื้อหาและมีสมรรถภาพในการออกแบบการเรียนการสอนและเทคโนโสความรู้ความชำนาญทางและเป็นผู้ที่รู้บทบาทของการออกแบบด้วยไม่จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านความรู้ความชำนาเนื้อหาวิชา
          2. ผู้ออกแบบการเรียนการสอนที่ได้รับการร้องขอให้ทำงานในด้านเนื้อหาที่อาจจะมี | ความคุ้นเคยแต่ผู้ออกแบบยังคงรู้สึกมีความจำเป็นที่จะทำงานกับผู้ชำนาญการด้านเนื้อหา
          3. ผู้ออกแบบอาจจะได้รับการร้องขอให้พัฒนาหรือวิจัยในด้านเนื้อหาที่ไม่มีความคุ้นเคยและดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกและทำงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาจำนวนมากตารางที่

11 เปรียบเทียบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิมกับการเรียนการสอนเชิงระบบ
องค์ประกอบของการเรียนการสอน
การเรียนการสอนแบบดั้งเดิม
การเรียนการสอนเชิงระบบ
1.กำหนดเป้าประสงค์
 (Setting goals)
* ตำราหลักสูตรดั้งเดิมการอ้างอิงภายใน
* การประเมินความต้องการจำเป็น
* การวิเคราะห์งาน
* การอ้างอิงภายนอก
2.จุดประสงค์ (Objectives)
* กล่าวในรูปของผลที่ได้รับ
รวมๆ หรือ การปฏิบัติของครู
* เหมือนกันสำหรับนักเรียนทุกคน
* จากการประเมินความต้องการจำเป็น การวิเคราะห์การประเมินงาน
* เลือกด้วยการพิจารณาจากทุกคน
* ความสามารถของผู้เรียนเมื่อแรกเข้าเรียน
3. จุดประสงค์ในความรู้เฉพาะของผู้เรียน (Student 's knowledge of objectives)
* ไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าต้องใช้สัญญาณจากการฟังคำบรรยายและการอ่านตำรา
* บอกกล่าวอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษล่วงหน้าก่อนเรียน
4. ความสามารถก่อนเข้าเรียน (Entering capability)
* ไม่ต้องใส่ใจนักเรียนทุกคนมีจุดประสงค์และวัสดุอุปกรณ์/กิจกรรมเหมือนกันหมด
* การพิจารณา
* การกำหนดวัสดุอุปกรณ์ควสดุอุปกรณ์/กิจกรรมแตก
5. ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง(Expected achievement)
ใช้โค้งมาตรฐาน
มีความเป็นแบบอย่างเดียวกันสูง
6. ความรอบรู้ (Mastery)
นักเรียนส่วนใหญ่รอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
*  รูปแบบผิดพลาด
นักเรียนส่วนใหญ่รอบรู้จุดประสงค์ทั้งหมด
7. ค่าระดับและการเลือนระดับ (Grading and Promotion)
อยู่บนพื้นฐานการเปรียบเทียบกับนักเรียนคนอื่นๆ
อยู่บนพื้นฐานการรอบรู้จุดประสงค์
8. การสอนเสริม(Remediation)“
บ่อยครั้งที่ไม่มีการวางแผน
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
จุดประสงค์หรือวิธีการเรียนการสอน
วางแผนสำหรับนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือแสวงหาจุดประสงค์อื่นๆเลือกวิธีการเรียนการสอน
9. การใช้แบบทดสอบ
กำหนดค่าระคับ
เฝ้าระวังติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน
ตัดสินความรอบรู้
วินิจฉัยความยากลำบาก
* ปรับปรุงการเรียนการสอน
10. เวลาศึกษากับความรอบรู้(Stidy time is mastery)
เวลาคงที่: ระดับของความรอบรู้หลากหลายแตกต่างกัน
ความรอบรู้คงที่: เวลาหลากหลายแตกต่างกัน
11. การตีความของความล้มเหลวที่จะไปให้ถึงความรู้ (Interpretation of failure to reach mastery)
นักเรียนผู้ส่งสาร
มีความต้องการจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงการเรียนการสอน
12. การพัฒนารายวิชา (Course of development)
เลือกวัสดุอุปกรณ์ก่อน
ระบุจุดประสงค์ก่อนแล้วจึงจะเลือกวัสดุอุปกรณ์
13. ลำดับขั้นตอน (Sequence)
อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและสังเขปหัวเรื่อง
อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตามความจำเป็นและหลักการของการเรียนรู้
14. การปรับปรุงการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์ (Revision of instructional and materials)
อยู่บนพื้นฐานของการคาดเดางานหรือความเพียงพอ
วัสดุอุปกรณ์ใหม่
เกิดขึ้นเป็นพักๆ
บนพื้นฐานของการประเมินข้อมูล
เกิดขึ้นเป็นประจำ
15. กลยุทธ์การเรียนการสอน(Instructional Strategies)
พอใจให้ผ่านได้อย่างกว้างๆ
อยู่บนพื้นฐานของความชอบและความคล้ายคลึง
เลือกที่จะให้ได้รับตามจุดประสงค์
ใช้ยุทธวิธีที่หลากหลาย
อยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีและการวิจัย
16. การประเมินผล (Evaluation)
บ่อยครั้งที่ไม่เกิดขึ้น: กาวางแผนเชิงระบบมีน้อย
แบบอิงกลุ่มข้อมูลได้ จากปัจจัยนำเข้าและ กระบวนการ
การวางแผนเป็นระบบเกิดขึ้นประจำ
ประเมินความรอบรู้ตามจุดประสงค์
ประเมินผลถึงเกณฑ์ข้อมูลได้จากผล(ผลผลิต)
ที่มา:  W.H. Hannum and leslir j, Briggs.“ How does Instructional Systems Design Differ Traditional Instruction." Educational Technology 22: 12-13 1982

ตารางที่ 12 งานและผลผลิตของกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
ขั้นตอนและภาระงาน
ตัวอย่างภาระงาน
ตัวอย่างผลผลิต
การวิเคราะห์-กระบวนการของการนิยามว่าต้องเรียนอะไร
* ประเมินความต้องการจำเป็น
* ระบุปัญหา
 * วิเคราะห์ภาระงาน
* แฟ้มผู้เรียน
* การพรรณนาข้อจำกัด
* คำกล่าวของความต้องการจำเป็นและปัญหา
* การวิเคราะห์ภาระงาน“
การออกแบบ-กระบวนการของ
การชี้เฉพาะว่าจะเรียนอย่างไร
* เขียนจุดประสงค์
* พัฒนารายการของแบบทดสอบ
* วางแผนการเรียนการสอน
* ระบุแหล่งทรัพยากร
* จุดประสงค์ที่วัดได้กลยุทธ์การเรียนการสอน
* ลักษณะเฉพาะของตัวแบบ (prototype specification)
การพัฒนากระบวนการของ
* ทำงานกับผู้ผลิต
* สตอรี่บอร์ด (story board)
หน้าที่และสเลิตวัสดุอุปกรณ์
* พัฒนาคู่มือแผนภูมิโปรแกรม
* สคริป
* แบบฝึกหัด
* คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอน
การนำไปใช้กระบวนการของการก่อตั้งโครงการในบริษัทแห่งโลกความจริง
* การฝึกอบรมครู
* การทดลอง
* การให้ความเห็นของนักเรียนข้อมูล
การประเมินผล-กระบวนการ
ของการตกลงใจเกี่ยวกับความเห็นผลของการเรียนการสอน
* บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเวลา
*ผลการแปลความแบบทดสอบ
* สำรวจผู้สำเร็จการศึกษา
* ทบทวนกิจกรรม
* คำรับรอง (recommendation)
รายงานโครงงาน
* ทบทวนตัวแบบ
ที่มา Barbara Seeds. and Zita Glam Exercises in instructional Design (Columbus, Ohio: Merrill Publothing Company, 1990), p. 8.



          นับว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วยเหมือนกันที่จะให้ความแตกต่างระหว่างบทบาทของผู้วิจัยและผู้ปฏิบัติเพราะว่าข้อกำหนดในความสำเร็จของทั้งสองส่วนนี้มีความแตกต่างกันผู้ที่เป็นนักวิจัยสนใจในแต่ละขั้นตอนของรูปแบบทั่วไปดังนั้นความสนใจและเป้าประสงค์ของผู้ปฏิบัติ (ID practitioner) จึงแตกต่างออกไปความสนใจและเป้าประสงค์ที่แตกต่างกันดังแสดงไว้ในตารางที่ 3
          ผู้ออกแบบที่เป็นนักปฏิบัติสามารถแสดงออกในแต่ละขั้นตอนจากการวิเคราะห์ไปจนถึงการทดลองขึ้นอยู่กับว่าจะพรรณนางานว่าอย่างไรถ้างานของผู้ออกแบบระบุไว้อย่างแคบๆแล้วผู้ออกแบบแสดงเพียงสองถึงสามขั้นตอนเท่านั้นโดยละทิ้งขั้นตอนที่เป็นผลิตผลการนำไปใช้และการประเมินผล
          นักวิจัยการออกแบบการเรียนการสอน (ID reneraher) หรือผู้เชี่ยวชาญ (specialist) สนใจศึกษาตัวแปรและพัฒนาทฤษฎีที่สัมพันธ์กับการเรียนการสอนนักปฏิบัติการออกแบบการเรียนสอน (ID practitioner Car กะกะation) สนใจการประยุกต์งานวิจัยและทฤษฎีการพัฒนาการเรียนการสอนและวัสดุอุปกรณ์บทบาทอื่นๆของผู้วิจัยการออกแบบการเรียนการสอนดังแสดงไว้ในตารางที่ 3 ส่วนบทบาทของผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนดังแสดงในตารางที่ 13
          สาขาวิชาการออกแบบการเรียนการสอนมีอายุประมาณ 30 ปีเป็นบทบาทของนักวิจัยที่จะส่งเสริมความงอกงามในทฤษฎีของการออกแบบการเรียนการสอนและเนื่องจากว่าการออกแบบการเรียนการสอนเป็นสาขาวิชาประยุกต์บทบาทของนักวิจัยจึงอาจดูเหมือนว่าแยกตัวออกไปตามลำพังและมีความสำคัญน้อย
สิ่งดังกล่าวนี้ไม่เป็นความจริงเพราะถ้าปราศจากกระบวนการทางทฤษฎีแล้วสาขาวิชาก็จะเฉื่อยชาอยู่กับที่ความมุ่งหมายของนักออกแบบการเรียนการสอนคือความจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าตนสามารถที่จะก้าวไกลได้ในหนทางแห่งอาชีพของตนเองถ้ารับรู้วิธีการวิจัยที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอน (Seels and Glasgow, 19990: 10)
          งานของผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะหลากหลายในความต้องการด้านความรู้ความชำนาญผลิตผลที่ได้และสถานการณ์ของงานผู้ปฏิบัติการออกแบบการเรียนการสอนอาจจะวิเคราะห์ภาระงานภายใต้การนิเทศของผู้จัดการโครงการในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและการพัฒนาผู้จัดการโครงการอาจจะนำทีมซึ่งพัฒนาการประชุมเชิงปฏิบัติการสามวันสำหรับการอุตสาหกรรม (three-day workshop) การออกแบบไม่จำเป็นต้องเป็นทีมเสมอไปในองค์กรเล็กๆอาจจะใช้ผู้ออกแบบเพียงคนเดียวในการทำภาระการออกแบบการเรียนการสอน





ตารางที่ 13 เปรียบเทียบความสนใจและเป้าประสงค์ของผู้วิจัยและผู้ปฏิบัติ
แบบจำลองการออกแบบการเรียนการสอนทั่วไป
บทบาทของผู้วิจัย
บทบาทผู้ปฏิบัติ
ขั้นที่ 1 การวิเคราะห์ขั้นที่



ขั้นที่ 2 การออกแบบ

ขั้นที่ 3 การพัฒนาขั้นที่

ขั้นที่ 4 การนำไปใช้ขั้นที่



ขั้นที่ 5 ประเมินผล
* ศึกษาวิธีการระบุปัญหา
* ศึกษาผลของคุณลักษณะของ 
  ผู้เรียน
* ศึกษาเนื้อหา
* ศึกษาตัวแปรในการออกแบบข่าวสาร
* พัฒนากลวิธีการเรียนการสอน
* ศึกษากระบวนการของทีม

*ศึกษาชาติวงศ์วรรณาของตัวแปรในสิ่งแวดล้อม 
* การระบุตัวแปรของการนำไปใช้ให้ได้ผล

*ศึกษาข้อถกเฉียงที่นำไปสู่การประเมินผล
* ประยุกต์ใช้วิธีการระบุปัญหา
* กำหนดคุณลักษณะของผู้เรียน
* ใช้การวิจัยในเนื้อหาตามสาขาวิชา

* ให้ผู้ปฏิบัติเป็นผู้ออกแบบการเรียนการสอน
* ทำงานกับผู้ผลิตในการพัฒนาสคริป
* ออกแบบและจัดการสิ่งแวดล้อมและตัวแปรในการเรียนการสอน
* ประยุกต์ทฤษฎีการประเมินผล

ที่มา: Barbara Seels, and Zita Glasgow, Exercises in instrucnal (Columbus, Ohio: Publeshing Company, 1990), p. 8. Merrill
การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
          การจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพตามที่มาร์ซาโน (Marzano: 2012) ได้นำเสนอกลวิธีการจัดการเรียนการสอนสรุปได้ 3 ส่วนคือ 1) การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating the Environmen for Learning) ซึ่งกลวิธีในส่วนที่ 1 นี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญให้กับการเรียนในทุกบทเรียนเมื่อครูสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ย่อมจูงใจและทำให้ผู้เรียนเกิดความคาดหวังและเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยการดูแลให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)เพื่อการพัฒนาเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นตลอดจนเรียนรู้การติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง 2) การช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจให้กับผู้เรียน (Helping students Develop Understanding) กลวิธีในส่วนที่ 2 นี้เป็นการช่วยผู้เรียนในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจจัดลำดับองค์ความรู้และเชื่อมโยงความรู้เก่ากับองค์ความรู้ใหม่จัดการกับความรู้ตรวจสอบความรู้สร้างมโนทัศน์ (Concept) ที่ถูกต้องซึ่งกระบวนการบูรณาการและเรียนรู้กระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ (1) การสร้างขั้นตอนที่จำเป็นในแต่ละกระบวนการหรือทักษะ (2) พัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติอย่างหลากหลาย (3) ปฏิบัติตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจำและ 3) ช่วยผู้เรียนในการขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ (Helping students Extend and Apply Knowledge) กลวิธีในส่วนที่ 3 คือช่วยขยายและประยุกต์ใช้ความรู้คือเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้มากกว่าคำตอบที่ถูกต้อง (right answer) โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ขยายองค์ความรู้โดยนำความรู้กับไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง (Real-world Contexts) โดยใช้กระบวนการของเหตุและผลและจึงเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
          จากกลวิธีการสอนดังกล่าวเมื่อพิจารณาตามหลักการ Universal Design (UD) จะเกี่ยวข้องกับการออกแบบผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่คนในทุกช่วงอายุและความสามารถที่แตกต่างกันสามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด (Story, Mueller, & Mace, 1998) เมื่อนำ Universal Design (UD) มาใช้ทางการศึกษาจึงเป็นการออกแบบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนทุกคน ได้แก่ การสอนที่ใช้สื่อและวิธีการแบบต่างๆเช่นการบรรยายการร่วมกันอภิปรายการทำงานกลุ่มการสอนโดยใช้อินเตอร์เน็ตใช้ห้องปฏิบัติการการออกฝึกภาคสนามเป็นต้นรวมทั้งการออกแบบหลักสูตรที่สนองต่อผู้เรียนหลายระดับความสามารถในห้องเรียน (สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา2555: 4-6) Universal Design (UD) ถูกนำมาใช้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาอาทิคอมพิวเตอร์เว็ปไซต์ซอร์ฟแวร์หนังสือคู่มือและเครื่องมือที่ใช้ในห้องทดลอง ฯลฯ และนำมาปรับใช้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอาทิหอพักห้องเรียนอาคารศูนย์ประชุมห้องสมุดและคอร์สรายวิชาเรียนทางไกลเป็นต้น
ความสำคัญของการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for UDI) คือแนวทางการสอนที่ประกอบด้วยการออกแบบเชิงรุกและใช้กลวิธีการเรียนการสอนแบบรวม (inclusive instructional strategies) ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนในวงกว้างครูมีบทบาทเป็นผู้ดำเนินการเชิงรุก (proactive) มีความรับผิดชอบ (responsive) และเป็นผู้สนับสนุน (supportive) การออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล (Universal Design for Instruction: UDI) ให้ความสำคัญกับหลักสูตรรายวิชาต่าง ๆ เทคโนโลยีและบริการต่าง ๆ โดยทั่วไปที่จัดให้ผู้เรียนถูกออกแบบมาให้กับผู้เรียนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยแต่ในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลจะต้องขยายขอบเขตสำหรับผู้เรียนที่มีหลากหลายลักษณะคำนึงถึงผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในการออกแบบดังกล่าวมุ่งที่ผลิตภัณฑ์ในการศึกษาและการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อให้ได้ผลได้มากเท่าที่จะทำได้ "(Story, Mueller, and Mace,1998)
          การออกแบบสากลในการศึกษา
          Universal Design (UD) เป็นการอำนวยความสะดวกสาหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นสำหรับใครคนใดคนหนึ่งดังนั้นการนำหลักการUniversal Design (UD) มาใช้ในการศึกษาจึงสามารถลดอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้และสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้ที่มีความแตกต่างกันสามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกันให้ได้มากที่สุด Strangerman, Hitchcock, Hall, Meo, & et. al: 2006 จากมหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นคาโรลาโดได้นำแนวคิดนี้มาประยุกต์ในการจัดการเรียนการสอนใน 2 ลักษณะคือ Universal Design for Instruction (UDI) และ Universal Design for Learning (UDL) โดยที่ UDI เป็นการออกแบบการสอนรวมไปถึงวิธีการสอนการจัดเนื้อหาการประเมินผลและหลักสูตรส่วน UDL เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับออกแบบสภาพการเรียนรู้หรือสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน
          การออกแบบสากลในการศึกษา (Universal Design in Education) ถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ทางการศึกษาต่างๆเช่นคอมพิวเตอร์เว็บไซต์ซอฟต์แวร์ตำราและอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการรวมถึงสภาพแวดล้อมต่างๆเช่นห้องรับแขกห้องเรียนอาคารสหภาพนักศึกษาห้องสมุดและหลักสูตรการเรียนทางไกลแตกต่างจากที่พักสำหรับบุคคลที่เฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบัติ UDE ให้ประโยชน์แก่นักเรียนทุกคนรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับที่พักที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรียนส่วนต่อไปนี้แสดงตัวอย่างการใช้งานทั่วไปในการตั้งค่าทางการศึกษา: ช่องว่างทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)การสอนและบริการของนักเรียนแตกต่างจากที่พักสำหรับบุคคลที่เฉพาะเจาะจงที่มีความสามารถในการเลือกปฏิบัติ UDE ให้ประโยชน์แก่นักเรียนทุกคนรวมถึงผู้ที่ไม่ได้รับที่พักที่เกี่ยวข้องกับคนพิการจากโรงเรียนส่วนต่อไปนี้แสดงตัวอย่างของการใช้งานทั่วไปในการตั้งค่าทางการศึกษา: พื้นที่ทางกายภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) การสอนและบริการของนักเรียน
การออกแบบที่เป็นสากลในการเรียนการสอน (Universal Design for Instruction: UDI)
          การนำแนวคิด UD มาใช้โดยเป็นการประยุกต์เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนที่ความต้องหลากหลายโดยมีหลักการว่า UD นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่าผู้เรียนแต่ละคนลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันและมีความต้องการที่แตกต่างกันด้วยซึ่งการนำ UD ไปใช้ในการศึกษาก็เพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละคนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความเสามารถของตนเองได้เต็มที่ตามศักยภาพ (Eagleton, 2008)
          Scot, Shaw and NdrGuire (2001) ได้เสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นมาไว้9ประการในการออกแบบการสอนที่เป็นสากล (Universal Design of Instruction หรือ UDI) ได้รับการพัฒนามาจากการศึกษาค้นคว้างานเขียนและงานวิจัยเกี่ยวกับหลักการในการออกแบบที่เป็นสากล (Uni Design หรือUD) และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิผลเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้ครูผู้สอนใช้ในการคร่นอนไตร่ตรองโดยนำไปใช้ได้หลายวิธีด้วยกันไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ หรือใช้เพื่อพิจารณาการสิ่งที่ทำอยู่แล้ว ณ ปัจจุบันก็ได้แล้วแต่ความจำเป็นของผู้สอนแต่ละท่านหลักการทั้ง 9 ประการนี้จะแสดงให้เห็นถึงปัญหาเกี่ยวกับการสอนหรือเป็นแนวทางในการสอนไม่ว่าจะเป็นการประเมินการเรียนรู้ของนักเรียนหรือการขยายประสบการณ์การเรียนรู้หรือการพิจารณาว่าจะสร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เหมาะสมกับเด็กทุกคนได้อย่างไรทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าผู้สอนจะใช้หลักการทุกข้อกับการเรียนการสอนทุกด้านพร้อมกันได้แต่เมื่อดูชั้นเรียนโดยองค์รวมจะพบว่าหลักการแต่ละข้อจะเข้ามามีบทบาทหลักการทั้งหมดนี้งประโยชน์สำหรับผู้สอนทุกท่านไม่เว้นแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ชำชองจากสาขาวิชาต่าง ๆ และมีประโยชน์สูงสุดสำหรับผู้สอนมือใหม่หรือครูผู้ช่วยสอนที่ต้องการคำแนะนำและแนวทางในการสอน
          Scott, Shaw and McGuine (2003: 369-379) ได้นำเสนอหลักการในการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลไว้9ประการดังนี้

          1. ความเสมอภาคในการใช้งาน (EQUITABLE USE)
                เป็นการออกแบบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้สำหรับคนทุกคนข้อมูลและอุปกรณ์ต้องใช้งานได้อย่างราบรื่นโดยกลุ่มนักเรียนที่เยอะขึ้นและมีความหลากหลายมากขึ้นหมายถึงการใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนที่เหมือนกัน“ เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้และใช้อุปกรณ์ที่เทียบเท่าเมื่อใช้อุปกรณ์ที่เหมือนกันไม่ได้ "ตัวอย่างเช่นข้อความดิจิทัลในรูปแบบที่ใช้ได้กับซอฟต์แวร์อ่านข้อความหลาย ๆ ชนิดและมีลิงเชื่อมโยงไปยังข้อมูลเบื้องหลังสำหรับนักเรียนทุกคน
          2. ความยืดหยุ่นในการใช้ (FLEXIBILITY IN USE)
           เป็นการออกแบบที่ทำให้ผู้เรียนแต่ละคนที่มีความหลากหลายได้ใช้ได้เช่นเดียวกันคือตัวเลือกหากผู้เรียนต้องการฟังเนื้อหาต้องทำได้หรือจะพิมพ์ออกมาเป็นเอกสารที่จับต้องได้ก็ต้องทำได้และ ยังต้องปรับขนาดและความคมชัดของตัวอักษรได้เพื่อประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีปัญหาด้านสายตาผู้สอนควรจัดเตรียมวิธีการสอนที่หลากหลายเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้เดียวกันในหลายรูปแบบ
          3. ง่ายและเป็นธรรมชาติ (SIMPLE AND INTUITIVE)
           เป็นการออกแบบที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นใช้งานง่ายสิ่งสำคัญในการเรียนรู้คือความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนไม่ใช่วิธีในการทำความเข้าใจ (วิธีไม่สำคัญสำคัญคือเข้าใจ) เมื่อผู้สอนจะนำหลักการนี้ไปใช้จึงต้องใช้ตารางคะแนนช่วย (ในตารางจะเขียนว่าต้องเข้าใจอะไรอย่างไร)
          4. สารสนเทศที่ช่วยให้รับรู้ได้ (PERCEPTIBLE INFORMATION)
          เป็นการออกแบบที่ทำให้ผู้เรียนแต่ละคนเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนกันข้อมูลสารสนเทศความรู้จะถูกนำเสนอแก่ผู้เรียนในลักษณะที่สามารถเข้าถึงได้ (ตัวอย่างเช่นเมื่อพูดถึงกราฟิกจะมีการอธิบายหรือใช้แท็กสำหรับผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางสายตาส่วนคำบรรยายมีไว้สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินและเอกสารการอ่านทั้งหมดจะมีให้ในรูปแบบดิจิทัลที่เข้าถึงได้
          5. การยอมรับว่าจะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น (TOLERANCE FOR ERROR)
          เป็นการออกแบบที่คำนึงความปลอดภัยของผู้เรียน (ในฐานะใช้) ผู้สอนต้องเข้าใจว่าผู้เรียนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันและมีแหล่งเรียนรู้ที่แตกต่างกันผลก็คือประสิทธิภาพของการสอนก็ย่อมแปรผันไปเช่นเดียวกันผู้สอนต้องให้ผู้เรียนแบ่งโครงงานใหญ่ ๆ ออกเป็นส่วนเล็ก ๆ มาส่งก่อนเพื่อจะได้นำข้อเสนอจากผู้สอนไปปรับปรุงโครงงานโดยรวม
          6. ความสามารถทางกายภาพที่ต่ำ (LOW PHYSICAL EFFORT)
          เป็นการออกแบบเพื่อให้ผู้ใช้มีความเมื่อยล้าในการใช้น้อยที่สุดเมื่อความพยายามทางกายภาพไม่ได้เป็นส่วนสำคัญของหลักสูตรายวิชาความพยายามทางกายภาพควรจะขจัดให้หายไปเพื่อที่ผู้เรียนจะ "เพิ่มความสนใจในการเรียนรู้” ดังนั้นการลดอุปสรรคการเรียนรู้ในทางกายภาพก็เป็นดีในการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนบางคน
          7. ขนาดและพื้นที่สำหรับการประยุกต์ใช้และการใช้ (SIZE AND SPACE FOR APPROACH AND USE ) เป็นการออกแบบเพื่อผู้ใช้ที่มีขนาดร่างกายที่แตกต่างกันใช้ได้อย่างสะดวกพิจารณาความต้องการของผู้เรียนภายในพื้นที่ที่กำหนดไว้โดยให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงในขนาดร่างกายท่าทางการเคลื่อนไหวและความต้องการของนักเรียน
           8. ชุมชนของผู้เรียน (A COMMUNITY OF LEARNERS)
          เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้สร้างสภาพแวดล้อม (ทั้งทางกายภาพและทางออนไลน์ที่รู้สึกปลอดภัยและสนับสนุนการโต้ตอบระหว่างนักเรียนด้วยกันเองรวมทั้งระหว่างนักเรียนและผู้สอน
          9. บรรยากาศในการสอน (INSTRUCTIONAL CLIMATE)
          เป็นการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ที่สภาพแวดล้อมได้รับการออกแบบมาเพื่อผู้เรียนคนสื่อสารให้นักเรียนรับรู้ว่าผู้สอนมีตั้งความคาดหวังไว้สูงสำหรับผู้เรียนทุกคนอาจารย์ผู้สอนสามารถเริ่มต้นกระบวนการนี้ได้ทั้งในหลักสูตรกับคำแถลงเกี่ยวกับความคาดหวังในการเคารพต่อความแตกต่างความหลากหลายรวมถึงข้อความกระตุ้นให้นักเรียนเปิดเผยตนเองเกี่ยวกับปัญหาการเรียนรู้ที่ได้รับการรับรองหรือสงสัย
การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (UDL: Universal Design for Learning)
          แนวคิด Universal Design เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่การออกแบบมุ่งที่การใช้งานให้คุ้มค่าครอบคลุมสำหรับผู้เรียนทุกคนโดยคำนึงถึงโอกาสในการใช้งานอย่างเท่าเทียมกันดังนั้นการนำแนวคิดการออกแบบการเรียนรู้สากล (Universal Design for Learning) มาใช้ในจึงสามารถช่วยลดอุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้และสร้างความยืดหยุ่นในการจัดการศึกษาเพื่อสนองต่อผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันสามารถเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียมกัน        แนวคิดการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล (Universal design for learning: UDL) เกี่ยวข้องกับการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ในยุคการศึกษา 4. 0 จึงมีการประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลายและแตกต่างกันประกอบไปด้วยหลักการที่สำคัญ 3 ประการ (Strangeman, Hitchcock, Hall Meo, & et al: 2006) ได้แก่
1. การสนับสนุนการเรียนรู้เพื่อจดจำโดยการจัดหาวิธีการนำเสนอที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย
2. เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ยุทธศาสตร์โดยจัดหาวิธีการอธิบายหรือการแสดงออกด้วยคำพูดทยืดหยุ่นและหลากหลายและการเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า
3. เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิผลโดยการจัดหาทางเลือกที่มีความยืดหยุ่นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ตามหลักสูตร

ความสำคัญของการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
          UDL มีความสำคัญอย่างยิ่งในการออกแบบการเรียนการสอนที่ประกอบไปด้วยจุดหมายวิธีการ (method) วัสดุอุปกรณ์ (materials) และการประเมินผลการเรียนรู้ (assessment) สำหรับวิธีการใดวิธการหนึ่งเพียงวิธีเดียวจะไม่เหมาะสมกับทุกการแก้ปัญหาแต่จะเป็นการออกแบบความยืดหยุ่นสามารถปรับแต่งได้และปรับตามความต้องการของบุคคลแต่ละบุคคลต่างมีความ% (assessment) สำหรับผู้เรียนทุกคนในการออกแบบที่มีวิธีการที่มีแต่ละบุคคลต่างมีความหลากหลายของทักษะความต้องการและความสนใจที่จะเรียนรู้ทางด้านประสาทวิทยากล่าวได้ว่าคล้ายกับระบบการทำงานของสมอง 3 ส่วนดังนี้ 1) เครือข่ายการรับรู้ (Recognition Networks) วิธีการที่เรารวบรวมข้อเท็จจริงและจัดประเภทของสิ่งที่เรามองเห็นได้ยินและอ่านตัวอักษรระบุคำหรือลักษณะของผู้เขียนเป็นภาระงานที่เป็นการรับรู้สิ่งที่จะเรียน (อะไรคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้: The "what” learning) 2) เครือข่ายเชิงกลยุทธ์ (Strategic Networks การวางแผนและการปฏิบัติงานวิธีการที่เราจัดระเบียบและแสดงหลักฐานทางความคิดของเราการเขียนเรียงความหรือการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ต่างถือเป็นงานเชิงกลยุทธ์ (" วิธีการ "ของการเรียนรู้: The" how "of learning) และ 3) เครือข่าย Affective Networks) จะมีวิธีเรียนรู้อย่างไรที่จะกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่ท้าทายและเร้าความสนใจของผู้เรียนเป็นมิติอารมณ์ (" ทำไม "ของการเรียนรู้: The" why” of learning)
          การออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญซึ่งถือว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการพัฒนาผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ
ระดับในการออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากล
การออกแบบการเรียนรู้ที่เป็นสากลจัดเป็น 3 ระดับดังนี้
          ระดับที่ 1 การนำเสนอการจัดการเรียนรู้ตามหลักการการออกแบบที่เป็นสากลเพื่อการเรียนรู้ (UDL) ควรใช้รูปแบบการนำเสนอที่หลากหลายวิธี ได้แก่
          -การใช้ข้อมูลที่หลากหลายรูปแบบเช่นข้อมูลภาพข้อมูลเสียงหรือข้อมูลที่สัมผัสได้
          -การใช้ภาษาและสัญลักษณ์ที่หลากหลาย
          -การให้โอกาสผู้เรียนได้ทำความเข้าใจบทเรียนและทบทวนความรู้นั้น
ระดับที่ 2 การสื่อสารการให้ผู้เรียนได้แสดงออกในการเรียนรู้ซึ่งมีหลากหลายวิธีการ ได้แก่
          -การใช้ภาษากาย
          -การพูดการสนทนาโต้ตอบ
          -การใช้การทำงานของสมองระดับสูง (Executive Function)
ระดับที่ 3 การมีส่วนร่วมเป็นการเสริมสร้างแรงจูงใจ ได้แก่
          -การพยายามชักจูงความสนใจโดยให้อิสระในการเลือก
          -สนับสนุนให้ใช้ความพยายามในการทางาน
          -เสริมสร้างทักษะการกำกับตนเอง (Self-regulation)
แบบการเรียนรู้ (Learning Styles)
          คำว่า Learning Styles ในคำภาษาไทยใช้คำว่าลีลาการเรียนรู้หรือแบบการเรียนรู้หลที่เป็นการปฏิบัติของผู้เรียนในการจัดการเกี่ยวกับการเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตกหลักสูตรซึ่งแตกต่างกันไปตามสติปัญญาลักษณะเฉพาะของผู้เรียนและสภาพแวดล้อมทาง
          แบบการเรียนรู้ (Learning Style) เป็นความคงที่ในการตอบสนองและการใช้สิ่งเร้าในการเรียนรู้อาจกล่าวได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนเรียนรู้ได้ดีที่สุดด้วยกลวิธีหรือวิธีการที่สนองตอบกับความเบการเรียนรู้หรือวิธีการเรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของาพแวดล้อมทางการเรียนะการใช้สิ่งเร้าในบริบทของที่สนองตอบกับความต้องการของผู้เรียนโดยผู้เรียนแต่ละคนมีแบบการเรียนรู้ของตนเองไรซ์แมนและกราสซาและเดวิดเออลได้นำเสนอแบบการเรียนรู้สรุปได้ดังนี้
          Anthony F. Grasha and Sheryl Reichman (1980 cited in Nova Southeastern University. 200 จัดผู้เรียนตามแบบการเรียนรู้ได้ 6แบบคือ
          1. แบบอิสระ (Independent Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้เฉพาะตนเองแสวงหาความรู้และประสบการณ์ด้วยตนเองจะเรียนรู้เนื้อหาวิชาเฉพาะที่ตนเห็นว่ามีความสำคัญเชื่อมั่นในความสามารถการเรียนรู้ของตนเองแต่ก็รับฟังความเห็นของผู้อื่น
          2. แบบหลีกเลี่ยง (Avoidance Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนผู้เรียนไม่สนใจเนื้อหาวิชาที่จัดให้ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
          3. แบบร่วมมือ (Collaboration Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ชอบที่จะทำงานร่วมกันกับผู้อื่นเรียนรู้ได้ดีด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันถือห้องเรียนเป็นแหล่งปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้เนื้อหาวิชาตลอดจนกิจกรรมนอกหลักสูตร
          4. แบบพึ่งพา (Dependent Style)) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการคำบอกเล่าว่าต้องทำอะไรอย่างไรและเมื่อไรผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการรับคำสั่งหรืองานที่มอบหมายอาจารย์และเพื่อนจะเป็นแหล่งความมีความต้องการเรียนรู้เฉพาะจากสิ่งที่กำหนดให้เรียนเท่านั้น

          5. แบบแข่งขัน (Competitive Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่จะพยายามทำให้ดีกว่าคนอื่นค้นหาความรู้โดยใช้หลักในการเรียนรู้ที่ผู้เรียนพยายามที่จะทำสิ่งต่างๆให้ได้ดีกว่าคนอื่นใช้หลักในการเรียนเพื่อให้มีผลการเรียนดีกว่าเพื่อนในชั้นเรียนต้องการรางวัลในชั้นเรียนเช่นคำชมหรือสิ่งของคะแนนมีลักษณะการแข่งขันแบบแพ้ชนะ
          6. แบบมีส่วนร่วม (Participant Style) ผู้เรียนมีแบบการเรียนรู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมมา "ในกิจกรรมในชั้นเรียนผู้เรียนต้องการเรียนรู้เนื้อหาวิชาในห้องเรียนและชอบที่จะเข้าชั้นเรียนแต่เมจะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียนส่วนร่วมมากที่สุดที่จะเข้าชั้นเรียนแต่ไม่ต้องการที่จะร่วมกิจกรรมที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่เรียน
          David A. Kolb (1995 อ้างในคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้กระทรวงศึกษาธิการ. 2543:-20) จัดกลุ่มผู้เรียนตามแบบการเรียนเป็น 4 กลุ่มดังนี้
          1. แบบนักปฏิบัติ active experimentation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อได้ลงมือปฏิบัติการเรียนรู้เกิดจากการกระทำควบคู่ไปกับการคิด
          2. แบบนักสังเกต reflective observation) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้จากการสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ แล้วนำมาจัดระบบระเบียบเป็นความรู้
          3. แบบนักคิดสร้างมโนทัศน์ (abstract conceptualization) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยวิเคราะห์และสังเคราะห์การรับรู้ที่ได้เป็นองค์ความรู้
          4. แบบนักประมวลประสบการณ์ (concrete experience) ผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้โดยการวิเคราะห์และประเมินด้วยหลักเหตุผล
          McCarthy (อ้างในศักดิ์ชัยนิรัญทวีและไพเราะพุ่มมั่น2542: 7-11) ได้ขยายแนวคิดของคอล์บโดยเสนอแบบการเรียนรู้ 4 แบบดังนี้
          แบบที่ 1 เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสและประมวลกระบวนการเรียนรู้จากการสังเกตนำไปสะท้อนความคิดเชิงเหตุผลผู้เรียนกลุ่มนี้มักถามถึงเหตุผลว่าทำไม (why) ผู้เรียนมักถามว่าทำไมต้องเรียนสิ่งนั้นสิ่งนี้จะต้องหาเหตุผลที่จะต้องเรียนรู้ก่อนสิ่งอื่น ๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับตัวเขาหรือสิ่งที่เขาสนใจอย่างไรโดยเฉพาะเรื่องความเชื่อค่านิยมความรู้สึกชอบขบคิดปัญหาต่างๆค้นหาเหตุผลและสร้างความหมายเฉพาะของตนเองผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนรู้ได้ดีเมื่ออภิปรายโต้วาทีใช้กิจกรรมกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือกันครูต้องให้เหตุผลก่อนเรียนหรือระหว่างเรียน
          แบบที่ 2 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการวิเคราะห์ (analytic leamers) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านการประมวลข้อมูลโดยนำสิ่งที่รับรู้มาประมวลกับประสบการณ์เป็นการเรียนรู้ใหม่ ๆ ผู้เรียนกลุ่มนี้จะถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงคำถามที่สำคัญคืออะไร (what) ผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเหมาะสมเพื่อนำไปพัฒนาเป็นความคิดรวบยอด (concept) หรือจัดระบบระเบียบของความคิดผู้เรียนกลุ่มนี้มุ่งเน้นรายละเอียดข้อเท็จจริงที่ถูกต้องจะยอมรับผู้รู้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีอำนาจสั่งการเท่านั้นผู้เรียนกลุ่มนี้จะเรียนก็ต่อเมื่อรู้ว่าจะต้องเรียนอะไรอะไรที่เรียนได้สามารถเรียนได้ดีจากการบรรยายการทดลองการทำรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย    แบบที่ 3 เป็นผู้เรียนที่ถนัดใช้สามัญสำนึก (common sense learners) ผู้เรียนจะรับรู้โดยผ่านกระบวนการคิดจากสิ่งที่เป็นนามธรรมกระบวนการเรียนรู้ได้จากการทดลองหรือปฏิบัติจริงมีการมองหากลยุทธ์ในการปรับเปลี่ยนความรู้เพื่อนำไปใช้คำถามที่สำคัญคืออย่างไร (how) ผู้เรียนกลุ่มนี้สนใจทดสอบทฤษฎีหรือปฏิบัติจริงโดยวางแผนนำความรู้ในภาคทฤษฎีที่เป็นนามธรรมไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในชีวิตจริงผู้เรียนกลุ่มนี้ต้องการเป็นผู้ปฏิบัติใฝ่หาสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นประโยชน์และตรวจสอบว่าข้อมูลที่
          ได้มานั้นสามารถใช้ได้ในชีวิตจริงหรือไม่สนใจที่จะนำความรู้ไปสู่การปฏิบัติจริงอยากรู้ว่าจะทำได้อย่างไรรูปแบบการเรียนการสอนที่ควรเป็นก็คือการทดลองการให้ปฏิบัติจริงทำจริงหรือสถานการณ์จำลองก็ได้
          แบบที่ 4 เป็นผู้เรียนที่ถนัดการปรับเปลี่ยน (dynamic learners) ผู้เรียนจะรับรู้ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรมและผ่านการกระทำคำถามที่สำคัญคือถ้าอย่างนั้นถ้าอย่างนี้ (1) ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยลงมือทำในสิ่งที่ตนเองสนใจและค้นพบความรู้ด้วยตนเองชอบรับฟังความคิดเห็นหรือคำแนะนำแล้วนำข้อมูลมาประมวลเป็นความรู้ใหม่ผู้เรียนกลุ่มนี้จะมองเห็นความซับซ้อนของสิ่งที่เรียนรู้สามารถสร้างผังความคิดแสดงความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ แล้วนำเสนอเป็นรูปแบบที่แปลกใหม่การสอนผู้เรียนกลุ่มนี้ใช้วิธีการสอนแบบค้นพบด้วยตนเอง (self discovery method) แบบการเรียนรู้ (learning styles) เป็นเพียงการจัดกลุ่มที่มีลักษณะโดยรวมเท่านั้นไม่อาจจำแนกได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้เรียนคนใดคนหนึ่งจะจัดอยู่ในกลุ่มของแบบการเรียนแบบใดแบบหนึ่งดังที่การ์ดเนอร์howard gardiner ที่ได้เสนอทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence theory) 8 ด้านคือด้านภาษาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ด้านดนตรีด้านมิติสัมพันธ์ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวด้านการรู้จักตนเองด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและด้านความเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อมผู้สอนสามารถใช้แบบการเรียนรู้ที่มาจากสติปัญญาหนึ่งด้านหรือสองด้านเพื่อให้เกิดการเรียนการสอนมีประสิทธิผลสูงสุดโดยปกติผู้สอนทดสอบและการได้รับข้อมูลป้อนกลับประกอบด้วยสติปัญญาสองด้านคือภาษา (verbal / linguistic) และเหตุผล logical mathematical) การนำแนวคิดพหุปัญญามาใช้ควรจะเป็นการใช้คุณลักษณะเด่นของสติปัญญาเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้เป็นอย่างดีประการสำคัญผู้สอนต้องคำนึงอยู่เสมอว่าในชั้นเรียนหนึ่ง ๆ มีผู้เรียนทุกแบบการเรียนรู้ดังนั้นผู้สอนจำเป็นต้องใช้แบบการสอน (teaching style) ที่หลากหลายเพื่อตอบสนองแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ครอบคลุมผู้เรียนมีโอกาสได้พัฒนาความสามารถของตนเองเต็มตามศักยภาพ





          พหุปัญญา (Multiple Intelligences)
          Howard Gardner (2011) Gardner, Howard. Frames of Mind: The Theory of Multiple Intelligences New York: Basic Books,2011. ได้พัฒนาทฤษฎีพหุปัญญาโดยทฤษฎีโต้แย้งความคิดเกี่ยวกับความเก่งและปัญญาของมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามที่เคยระบุความหมายไว้แต่เดิมซึ่งเรียก“ ไอคิว” 10) นั้นไม่เพียงพอที่จะนำไปสู่การแสดงความสามารถของมนุษย์ที่มีมากมายหลากหลายที่แนวคิดเดิมเน้นปัญญาของมนุษย์เพียงสองด้านคือด้านภาษาและด้านคณิตศาสตร์การ์ดเนอร์ได้เสนอแนวคิดว่าปัญญาที่หลากหลายหรือพหุปัญญาจะพบในทุกวิถีชีวิตการเรียนรู้ที่ดีที่สุดอาจเกิดจากตัวป้อนที่ให้ผ่านวิธีการที่ต่างกันผู้เรียนอาจจะทำได้ดีในเรื่องที่ไม่ใช่คณิตศาสตร์หรืออาจจะมีกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งกว่าที่เหนือชั้นกว่าคนที่แต่จำหลักคิดได้เท่านั้นการ์ดเนอร์เสนอว่าปัญญามีอยู่ 8 ด้านดังต่อไปนี้
          1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic intelligence) เป็นปัญญาความสามารถในการใช้ถ้อยคำ (“ word samarn ")
          2. ปัญญาด้านตรรกะคณิตศาสตร์ (Logical-mathematical intelligence) เป็นปัญญาความสามารถทางด้านจำนวนตัวเลขและเหตุผล ("number / reasoning smart”)
          3. ปัญญาด้านมิติ (Spatial intelligence) เป็นปัญญาความสามารถด้านการคิดเป็นรูปภาพสามารถมองเห็นโลกในรูปของภาพและสามารถจำลองสร้างภาพนั้นได้ (“ picture smart”)
          4. ปัญญาทางด้านคนตรี Musical intelligence เป็นปัญญาที่มีความสามารถสูงทางด้านดนตรีคือความสามารถและชื่นชมในเสียงทำนองจังหวะและสามารถผลิตสียงทำนองจังหวะได้ดี music smart”)
          5. ปัญญาด้านร่างกายการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษในการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายและในการใช้มือเพื่อจัดกระทำกับสิ่งของ (“ body Smart”)
          6 ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถพิเศษในการทำงานร่วมกับผู้อื่นมีความเข้าใจผู้อื่นสามารถที่จะสังเกตรับรู้อารมณ์ความคิดความปราถนาของผู้อื่น (“ people smart”)
          7. ปัญญาด้านด้านปฏิสัมพันธ์ต่อตนเอง (Intrapersonal intelligence) เป็นปัญญาความสามารถเข้าใจอารมณ์ของตนเองได้ดี (“ self smart”)
          8. ปัญญาด้านการเข้าใจเรื่องธรรมชาติ (Naturalist intelligence) เป็นปัญญาความสามารถสังเกตเชื่อมโยงข้อมูลกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ (“nature smar”) สาระสำคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพหุปัญญาคือทุกคนมีปัญญาทั้ง 8 ด้านนี้ในตนและปัญญาแต่ละด้านสามารถพัฒนาให้อยู่ในระดับใช้การได้การ์ดเนอร์กล่าวสรุปไว้ว่าปัญญาทั้ง 8 ด้านจะสัมพันธ์เชื่อมโยงกันกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตจะไม่มีกิจกรรมใดที่ใช้เฉพาะปัญญาด้านใดด้านเดียวคำแนะนำที่ดีก็คือไม่ทุ่มเทไปที่ปัญญาด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวแต่ควรจะสัมพันธ์ปัญญาหลายๆด้านในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ขึ้นมา
แบบการสอน (Styles of teaching) 
          แบบการสอน (Styles of teaching) เป็นการแสดงคุณค่าของครูแต่ละคนเป็นปัจจัยส่วนบุคคลที่ทำให้ครูคนหนึ่งแตกต่างไปจากครูคนอื่นๆประกอบด้วยการแต่งกายภาษาเสียงกริยาท่าทีระดับพลังการแสดงออกทางสีหน้าแรงจูงใจความสนใจในบุคลอื่นความสามารถในการแสดงเชาว์ปัญญาและความคงแก่เรียน
          ครูมีความพร้อมที่จะปรับสไตล์การสอนแบบใดแบบหนึ่งโดยที่รู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัวก็ได้ครูเป็นเสมือนผู้ช่วยเหลือผู้กวดขันวินัยนักแสดงเพื่อนภาพลักษณ์ของพ่อหรือแม่ผู้ปกครองที่มีอำนาจจิตรกรพี่ชายใหญ่หรือพี่สาวใหญ่หรือแสดงหรือเป็นตัวอย่างของรูปแบบการสอนสไตล์การสอนเป็น“ คุณภาพที่แผ่ซ่านอยู่ในพฤติกรรมของแต่ละบุคคลเป็นคุณภาพที่คงอยู่แม้ว่าเนื้อหาจะเปลี่ยนแปลง” (Fischer and Fischer, 1976: 245) หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นคุณภาพตามเนื้อหาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรคุณภาพของจะคงอยู่ฟิสเชอร์ทั้งสองได้สังเกตว่าครูมีความแตกต่างกันในรูปแบบการสอนเช่นเดียวกับประธานาธิบดีของรัฐบาลอเมริกาแต่ละบุคคลที่มีรูปแบบการพูดที่แตกต่างกันนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงที่มีความแตกต่างกันในรูปแบบของกิจกรรมหรือนักเทนนิสที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางก็มีรูปแบบการเล่นที่เป็นของตัวเองไม่เหมือนใคร
          ครูที่มีเสียงสูงและเสียงแบนจะมีความยากในการใช้วิธีสอนแบบบรรยายครที่แต่งเครื่องแบบหรือมีท่าทางที่เป็นทางการจะสามารถจัดการกับห้องเรียนที่อึกทึกได้ครูที่ขาดความเชื่อมั่นในทักษะการจัดการอาจจะรู้สึกไม่ชอบใจกับความเป็นอิสระอย่างไม่มีขอบเขตของผู้เรียนไม่ชอบใจกับการอภิปรายชนิดที่เป็นปลายเปิดและถ้าครูระดับต่ำมีแนวจูงใจต่ำที่จะปฏิเสธการอ่านเรียงความหรือรายงานประจำภาคของผู้เรียนอย่างระมัดระวังแล้ววิธีเช่นนี้จะมีประโยชน์น้อยมาก
          ครูที่มีใจชอบความคงแก่ผู้เรียนชอบที่จะรวมเอาวิธีสอนหลากหลายที่ได้จากผลการวิจัยมาใช้ครูที่ให้ความสนใจกับประชาชนจะเลือกวิธีสอนที่ครูและนักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กันและนักเรียนไม่เพียงแต่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วๆไปทั้งในและนอกโรงเรียนด้วย
          ครูที่มีความเชื่อมั่นกับงานของตนเองจะเชื้อเชิญให้ผู้อื่นมาเยี่ยมชมชั้นเรียนจะใช้ทรัพยากรบุคคลโสตทัศนูปกรณ์วีดีทัศน์เป็นกิจกรรมในชั้นเรียนครูที่มีความเป็นประชาธิปไตยจะออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่ยอมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
          ครูบางคนปฏิเสธที่จะใช้โสตทัศนูปกรณ์เพราะรู้สึกว่าไม่มีสมรรถนะเพียงที่จะใช้เครื่องมือและมีเจตคติว่าการใช้สื่อทำให้เสียคุณค่าของเวลา
          แบบการสอนของผู้สอนมีความสัมพันธ์บางอย่างกับแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนดังที่กล่าวมาแล้วว่าผู้เรียนบางคนมีความสามารถในการแสดงออกด้วยการพูดดีกว่าการเขียนบางคนสามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของนามธรรมในขณะที่คนอื่นๆเพียงแต่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นบางคนเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้เทคนิคการฟังและการคมากกว่าการอ่านบางคนสามารถทำงานภายใต้ความกดดันได้ผู้เรียนที่มีแบบการเรียนรู้ที่แตกต่างในแบบการสอนด้วยในความจริงแล้วจำนวนผู้เรียนมากขึ้นเท่าไรความแตกต่างของผู้เรียนยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้นผู้สอนต้องรับรู้ว่าแบบการสอนสามารถให้ความกระทบอย่างแรงกล้าต่อสัมฤทธิผลของผู้เรียนแบบการสอนแต่ละครั้งสามารถที่จะผสมผสานให้เข้ากันจุดหมายของผู้เรียนได้
          แบบการสอนไม่สามารถเลือกในลักษณะเดียวกันกับการเลือกกลวิธีการสอนได้แบบการสอนไม่ใช่สิ่งที่พร้อมที่จะเปิดปิดสวิตซ์ได้ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายที่จะเปลี่ยนการมุ่งงานไปเป็นการมุ่งให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเรื่องทำนองนี้เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะทำได้เหนือสิ่งอื่นใดผู้สอนที่ไม่มีการตื่นเต้นทางอารมณ์จะเปลี่ยนเป็นผู้สอนที่มีความตื่นเต้นทางอารมณ์ได้หรือไม่มีคำตอบอยู่สองคำถามเกี่ยวกับแบบการสอนว่าผู้สอนสามารถเปลี่ยนแบบการสอนได้หรือไม่และผู้สอนควรเปลี่ยนแบบการสอนหรือไม่
          บางที่จะพบว่าคำถามที่ยิ่งใหญ่คือผู้สอนควรเปลี่ยนแปลงแบบการสอนหรือไม่มีคำตอบอยู่สามข้อต่อคำถามที่ตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าผู้สอนสามารถเปลี่ยนแบบการสอนได้คือประการแรกแนวคิดที่ว่าแบบการสอนตรงกับแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนจึงได้มีความพยายามที่จะวิเคราะห์แบบการสอนและแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างถูกต้องสมควรและจัดกลุ่มผู้เรียนและผู้สอนที่มีแบบการเรียนและแบบการสอนที่สอดคล้องกัน
          ประการที่สองตามแนวความคิดที่ว่ามีคุณความดีบางอย่างในการที่จะเผยให้ผู้เรียนทราบถึงแบบการเรียนรู้ของบุคคลที่มีความหลากหลายแตกต่างกันอย่างมากในระหว่างที่พบเห็นในโรงเรียนเพื่อให้ผู้เรียนจะได้เรียนรู้การปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในแบบต่างๆแม้ว่าผู้เรียนบางคนอาจจะชอบมากกว่าที่จะให้มีโครงสร้างแต่เพียงเล็กน้อยไม่เป็นทางการใช้วิธีการผ่อนคลายในขณะที่อยู่ในโรงเรียนผู้เรียนที่จบจากมัธยมตอนปลายที่มุ่งงานและผู้สอนที่ยึดวิชาเป็นศูนย์กลางจะเป็นคนที่เรียกว่าเท้าอุ่นจะมีหลักมีความมั่นคงช่วยให้ประสบผลสำเร็จประการที่สามต่อคำถามว่าผู้สอนควรจะเปลี่ยนแบบการสอนหรือไม่มีแนวคิดว่าครูควรจะยืดหยุ่นใช้แบบการสอนให้มากว่าหนึ่งแบบหรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าหลากวิธีการสอนให้ผู้เรียนกลุ่มเดียวกันหรือกับผู้เรียนต่างกลุ่มกันคำตอบนี้รวมถึงลักษณะของการตอบประการแรกประการที่สองด้วยผู้สอนจะมีหลากหลายแบบการสอนสำหรับกลุ่มผู้เรียนพิเศษด้วยสัญลักษณ์ที่เหมือนกันถ้าผู้สอนสามารถทำได้ทำให้ผู้เรียนพบกับแบบการสอนที่หลากหลายของผู้สอนอย่างไรก็ตามกลยุทธ์ที่รับเลือกต้องอนุโลมให้มีแบบการสอนที่สามารถเรียนแบบได้ด้วยนั่นคือเหตุผลที่แสดงว่าทำไมเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้สอนที่ต้องรู้ว่าผู้เรียนเป็นใครเป็นอะไรและเชื่อถืออะไรบ้างดันน์และดันน์ได้กล่าวว่าเกี่ยวกับผลของเจตคติความเชื่อของครูต่อแบบการสอนว่า
          เจตคติของครูต่อโปรแกรมการเรียนการสอนวิธีการสอนและแหล่งวิทยาการที่หลากหลายตลอดจนลักษณะของเด็กๆหรือผู้เรียนที่ผู้สอนชอบทำงานด้วยผสมผสานหลอมหล่อกันเป็นส่วนหนึ่งของ“ แบบการสอน” อย่างไรก็ตามมีความจริงอยู่ว่าผู้สอนบางคนเชื่อในรูปแบบของการเรียนการสอนพิเศษซึ่งไม่ใช่การปฏิบัติอื่นๆซึ่งผู้สอนไม่ได้ให้ความเชื่อถือ (อำนาจในการบริหารหรืออำนาจของชุมชนความไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหรืออดทนต่อแรงกดดัน) และความเป็นจริงด้วยเหมือนกันอีกว่าผู้สอนอาจจะชอบผู้เรียนที่มีความแตกต่างไปจากที่สอนอยู่มากกว่าก็เป็นได้
          พิชาขอร์และชิกขอร์ได้ข่งแบบการสอนที่ประกอบด้วยการรอบรู้ภาระการงานการวางแผนการร่วมมือกันการให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการให้ความตื่นเต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอย่าง
          การมุ่งงานครูจะกำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และบอกถึงความต้องการในการปฏิบัติงานของนักเรียนการเรียนที่จะประสบผลสำเร็ออาจจะเฉพาะเจาะจงไปที่พื้นฐานของนักเรียนแต่ละคนและมีระบบที่จะให้นักเรียนแต่ละคนเป็นไปตามความคาดหวังอย่างชัดเจนมั่นคง
          การวางแผนการร่วมมือกันครูร่วมกันวางแผนวิธีการและจุดหมายปลายทางของการเรียนการสอนด้วยความร่วมมือของนักเรียนครูไม่เพียงแต่จะรับความคิดเห็นเท่านั้นแต่ครูต้องกระตุ้นให้การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของนักเรียนทุกระดับชั้นด้วย
          การให้นักเรียนเป็นจุดศูนย์กลางครูจัดหาจัดเตรียมโครงสร้างต่างๆสำหรับนักเรียนเพื่อให้ติดตามแสวงหาความรู้ตามที่ต้องการหรือตามความสนใจสไตล์แบบนี้ไม่เพียงแต่จะพบว่ามีน้อยแต่เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการให้เป็นไปตามที่คาดหวังเพราะว่าชั้นเรียนที่มีอัตราส่วนระหว่างนักเรียนกับครูและนักเรียนกับสิ่งแวดล้อมในความรับผิดชอบจะกระตุ้นส่งเสริมความสนใจของนักเรียนบางคนและทำให้นักเรียนบางคนเกิดความท้อแท้ใจโดยอัตโนมัติ
          การให้เนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลางวิธีการนี้ครูจะเน้นไปที่เนื้อหาวิชาที่จัดไว้ดีแล้วโดยกับผู้เรียนออกไปและคิดว่าเนื้อหาวิชาที่จัดนั้นครอบคลุมรายวิชาครูจะพึ่งพอใจแม้ว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นน้อย
          การให้การเรียนรู้เป็นศูนย์กลางวิธีการนี้ครูจะให้ความสำคัญเท่าๆกันระหว่างนักเรียนและจุดประสงค์ของหลักสูตรตลอดจนสิ่งที่จะใช้ในการเรียนครูจะปฏิเสธการเน้นอย่างมากเกินไปทั้งในด้านการให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการให้เนื้อหาเป็นศูนย์กลางแทนการช่วยเหลือนักเรียนโดยไม่คำนึงว่านักเรียนมีความสามารถหรือไม่มีความสามารถเพื่อที่จะพัฒนาไปสู่เป้าประสงค์ที่มีความเป็นไปได้ให้ดีเท่าๆกับอิสรภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน
          ให้มีการตื่นเต้นทางอารมณ์และเป็นแบบอย่างวิธีการนี้ครูจะแสดงอารมณ์ที่เกี่ยวกับการสอนอย่างเข้มข้นครูจะเข้าไปอยู่ในกระบวนการสอนอย่างใจจดใจจ่อและโดยปกติแล้วจะก่อให้เกิดบรรยากาศชั้นเรียนที่ตื่นเต้นและมีอารมณ์ร่วมสูง
          ไม่มีข้อสงสัยเลยที่จะพบว่าประเภทของการสอนบางอย่างชวนให้ใช้และได้รับการยอมรับมากกว่าประเภทอื่นๆเราอาจจะบ่งชี้ได้ว่าการสอนบางประเภทเป็นลบ (ตัวอย่างคือพฤติกรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย) บางประเภทเป็นบวก (เช่นการคำนึงถึงนักเรียน) เราซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคงจะยอมรับประเภทของการสอนซึ่งเป็นแบบอย่างของตนดังที่ฟิชเชอร์และฟิชเชอร์ได้กล่าวว่า
          เราไม่ได้พิจารณาว่าสไตล์การสอนและการเรียนรู้ทั้งหมดมีความเหมาะสมเท่าเทียมกันมีอยู่บ่อยครั้งที่การสอนนั้นๆเป็นสิทธิของการปฏิบัติที่ไม่สามารถจะโต้แย้งได้“ เอาล่ะนั้นมันเป็นวิธีการของผมฉันผมมีวิธีการของผมคุณมีวิธีการของคุณและแต่ละวิธีการก็ดีเหมือนๆกับวิธีการอื่นๆ” ถ้าทุกความคิดของวิธีการนั้นๆอยู่บนพื้นฐานของความผูกพันต่อการเรียนการสอนรายบุคคลและพัฒนาการของอิสรภาพของผู้เรียนเราไม่ยอมรับการสอนประเภทที่ส่งเสริมการบังคับให้ปฏิบัติตามและขึ้นอยู่กับผู้อื่น (Fisher and fisher, 1976: 409 – 401)
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment)
          Jon Wiles (2009: 56-57) สรุปว่าสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Learning Environment) หมายถึงสภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัวผู้เรียนทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมในด้านรูปธรรมเป็นสภาพแวดล้อมทางกายภาพได้แก่สภาพแวดล้อมในห้องเรียนเช่นขนาดการวางผังแสงที่นั่งส่วนสภาพแวดล้อมภายนอกห้องเรียนเช่นห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์หรือทางภาษาโดยสามารถใช้อาคารในการจัดพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้โดยเฉพาะจัดสื่อที่หลากหลายสำหรับนักเรียนแต่ละคนและเป็นสื่อบูรณาการสะดวกเหมาะสมกับหลักสูตรเป็นศูนย์การเรียนรู้สื่อประสมเป็นต้นสภาพแวดล้อมที่เป็นนามธรรม ได้แก่ การจัดการเรียนการสอนสภาพแวดล้อมทางจิตใจหรือบรรยากาศทางจิตใจส่งผลต่อผู้เรียนทั้งทางบวกและทางลบตลอดจนมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรียนรู้ของผู้เรียนได้โดยสรุปสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ Learning Environment) เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้คือมีความรู้สมรรถนะและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
          Bob Pearlman (http: / / go. solution-tree. com / 21st centuryskills อ้างถึงในนฤมลปภัสสรานนท์ 2558: 67-68) ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับการออกแบบสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนทักษะในศตวรรษที่ 21 โดยตั้งคำถามว่า "ความรู้และทักษะอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับนักเรียนในศตวรรษที่ 21" และควรตอบคำถามตามประเด็นคำถามต่อไปนี้
          -อะไรคือหลักสูตรการเรียนการสอนและกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
          -สิ่งที่ใช้ประเมินผลการเรียนรู้ทั้งระดับโรงเรียนและระดับชาติเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนการมีส่วนร่วมของนักเรียนและการบริหารตนเอง
          -เทคโนโลยีจะสามารถสนับสนุนการเรียนการสอนหลักสูตรและการประเมินผลของศตวรรษที่ 21 เพื่อสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างไร
          -อะไรคือสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ทางกายภาพ (ห้องเรียนโรงเรียนและโลกแห่งความจริง) ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
          จากการศึกษาสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Environments) จากเว็บไซด์ http: / / www.21stcenturyskills. org / route2ได้นำเสนอสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ไว้ ว่าคือระบบสนับสนุนที่จัดสรรเพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุดเป็นระบบที่รองรับความต้องการเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคนและสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประโยชน์เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เป็นการรวมเอาโครงสร้างเครื่องมือและชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนและนักการศึกษาเพื่อที่จะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21 นี้ตามความต้องการของทุกคนสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จะเป็นระบบที่สอดคล้องกันได้อย่างลงตัวคือ
          -สร้างข้อปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้ให้การสนับสนุนจากผู้คนโดยรอบและสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่จะให้การสนับสนุนการเรียนการสอนและการเรียนรู้เพื่อให้ได้ผลเชิงทักษะในศตวรรษที่ 21
          -สนับสนุนชุมชนการเรียนรู้ระดับมืออาชีพที่ช่วยให้นักการศึกษาทำงานร่วมกันแบ่งปันวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดและบูรณาการทักษะในศตวรรษที่ 21 ไปสู่การปฏิบัติในห้องเรียน
          -ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ในบริบทของศตวรรษที่ 21 (เช่นผ่านโครงการหรืองานอื่น ๆ นำไปใช้-ช่วยให้เข้าถึงเครื่องมือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพเทคโนโลยีและทรัพยากร
          -จัดสรรให้การออกแบบเชิงสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในศตวรรษที่ 21 สำหรับการเรียนรู้แบบกลุ่มทีมงานและของแต่ละบุคคล
          -รองรับชุมชนที่มีการขยายตัวและการมีส่วนร่วมระหว่างประเทศในการเรียนรู้ทั้งการเรียนแบบเผชิญหน้า face to face และออนไลน์
กลวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ (Classroom Instruction That works)
 Marzano 2012) ได้เสนอกลวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
          1. การสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (Creating the Environment for Learning)
          2. การช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความเข้าใจ (Helping students Develop Understanding)
          3. การช่วยให้ผู้เรียนให้ขยายและนำความรู้ไปใช้ Helping students Extend and Apply Knowledge
          กลวิธีที่ 1 เป็นพื้นฐานสำคัญเมื่อผู้สอนสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนอย่างมีความหมายโดยการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้พัฒนาทักษะการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นตลอดจนการติดตามและพัฒนาความรู้ของตนเอง
          กลวิธีที่ 2 เป็นการช่วยผู้เรียนในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจจัดการกับความรู้จัด "เชื่อมโยงความรู้เก่ากับความรู้ใหม่ตรวจสอบความรู้และสร้างมโนทัศน์ (Concept) ที่ถูกต้องซึ่งการบูรณาการและเรียนรู้กระบวนการในแต่ละประเภทของความรู้จะเกี่ยวข้องกับ 1) การสร้างจจัดการกับความรู้จัดลำดับและ (Concept) ที่ถูกต้องซึ่งกระบวนข้องกับ 1) การสร้างขั้นตอนที่จำเป็นในแต่ละกระบวนการหรือทักษะ 2) พัฒนามโนทัศน์และความเข้าใจในกระบวนการและการปฏิบัติอย่างหลากหลายปฏิบัติตามทักษะที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นประจำ
          กลวิธีที่ 3 คือช่วยผู้เรียนขยายและประยุกต์ใช้ความรู้เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ความรู้มากกว่าคำตอบที่ถูกต้อง right answer) โดยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ขยายขอบข่ายความรู้โดยประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตจริงเป็นบริบทแห่งความเป็นจริง (Real-world Contexts) มีความเป็นเหตุเป็นผลจึงเป็นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ Creating the Environment for Learning)
Marzano: (2012) ได้สรุปกลวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพในการสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ไว้ดังตาราง
ตารางที่ 14 กลวิธีการการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
1) การกำหนดวัตถุประสงค์และให้ข้อมูลย้อนกลับ
(Setting Objectives Feedback)
2) เสริมแรงและสร้างความยอมรับ (Reinforcing Effort and Providing Recognition)
3) การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperatives Learming)


ช่วยพัฒนาความเข้าใจของผู้เรียน 
(Helping students Develop Understanding)
1) ให้คำแนะนำ (Cues))
2) ใช้คำถาม (Questions))
3) ให้ความรู้มโนทัศน์ล่วงหน้า(AdvanceOrganizes)
4) การแสดงออกโดยภาษากาย
(Nonlinguistic Representations)
5) สรุปความและจดบันทึก
(Summarizing and Note taking)
6) มอบหมายการบ้านและให้ปฏิบัติ (Assigning Homework and Providing Practice)
ช่วยขยายและประยุกต์ใช้ความรู้ของผู้เรียน 
(Help students Extend and Apply Knowledge) 1)ระบุความเหมือนความแตกต่าง
(Identifying Similarities and Differences)
2) สร้างและทดสอบสมมติฐาน
(Generating and testing Hypotheses)



ตารางที่ 15 คำจำกัดความของกลยุทธ์การสอน
คำสำคัญ
ความหมาย
1) กำหนดวัตถุประสงค์และให้ข้อมูลย้อนกลับ (Setting Objective Feedback)
การใช้ข้อมูลที่เกี่ยวกับทิศทางในการเรียนรู้และเป้าหมายในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติ
2) การเสริมแรงและสร้างการยอมรับ (Reinforcing Effort  and Providing Recognition)
การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในเรื่อง
- ความสัมพันธ์ระหว่างความพยายามและความโดยมุ่งสร้างทัศนคติที่ดีและความเชื่อมั่นในการเรียน
- สามารถให้การยอมรับและเข้าใจอย่างเป็นรูปธรรมหรียกย่องในความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
3) การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
หมายถึงการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในการส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้
4) ให้คำแนะนำใช้คำถามและมโนทัศน์ล่วงหน้า (Cass, Questions and Advance Organizes)
คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถจดจำ ใช้ และจัดการกับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา
5) การแสดงออกโดยภาษากาย (Noellinguistic Representations)
หมายถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถนำเสนอและให้รายละเอียดในการแสดงถึงความรู้
6) สรุปความและจดบันทึก (Sumunariring and Note taking)
หมายถึงการส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและจัดการกับข้อมูลโดยการสรุปสาระสำคัญและข้อมูลสนับสนุน
7) สรุปความและจดบันทึก (Sumunariring and Note taking)
หมายถึงการให้โอกาสผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทบทวนและประยุกต์ใช้ความรู้การสร้างเสริมให้นักเรียนได้เข้าถึงระดับของความเชี่ยวชาญในทักษะหรือกระบวนการที่คาดหวัง
8) ระบุความเหมือนความแตกต่าง (Identifying Similarities and Differences)
หมายถึงการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้กระบวนการทางปัญญาในการระบุหรือจำแนกสิ่งที่เหมือนและแตกต่าง
9) สร้างและทดสอบสมมติฐาน (Generating and testing Hypotheses
หมายถึงการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมนักเรียนเข้าใจและสามารถใช้ความรู้และกระบวนการทางปัญญาในการสร้างและทดสอบสมมติฐาน

กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิภาพตามแนวคิดของ Marzano
          การตั้งจุดมุ่งหมาย / จุดประสงค์ (Setting objectives) แนวทางการตั้งจุดประสงค์มีดังนี้ 1) ตั้งจุดประสงค์ให้ชัดเจนตามเกณฑ์แต่ไม่ตายตัว 2) สื่อสารจุดประสงค์ให้กับผู้เรียนและครอบครัวได้เข้าใจตรงกัน 3) เชื่อมโยงจุดประสงค์การเรียนรู้กับสิ่งที่เรียนรู้เดิมและการเรียนรู้ใหม่ 4. ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการตั้งจุดประสงค์การเรียนรู้ของตนเอง
          การให้ข้อมูลย้อนกลับ (Providing Feedback) การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เกี่ยวกับจุดประสงค์การเรียนรู้และนำไปสู่การพัฒนาการปฏิบัติและความเข้าใจซึ่งแนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพดังนี้ 1) ข้อมูลย้อนกลับจะต้องมีความถูกต้องและละเอียดในสิ่งที่ผู้เรียนต้องรู้และเป็นประโยชน์ต่อไป 2) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรคำนึงถึงเวลาที่เหมาะสมและจำเป็น 3) การให้ข้อมูลย้อนกลับควรมีเกณฑ์อ้างอิงชัดเจน 4) ควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลย้อนกลับ
          การให้การเสริมแรง (Reinforcing Effort) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมแรงและผลสัมฤทธิ์ 2) แจ้งผู้เรียนให้ชัดเจนในวิธีการกระบวนการในการให้แรงเสริม 3) ถามผู้เรียนถึงผลที่เกิดจากการเสริมแรงสู่การบรรลุผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
          การให้การยอมรับ (Providing Recognitionมีวิธีการดังนี้ 1) ส่งเสริมเป้าหมายมุ่งเน้นการเป็นผู้รอบรู้ 2) ให้การยกย่องสำหรับสิ่งที่เป็นไปตามความคาดหรือทั้งในด้านการปฏิบัติและพฤติกรรม) ใช้สัญลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมในการแสดงการยอมรับเป็นการให้รางวัล
          การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีวิธีการดังนี้ 1) ควรยึดหลักของการมีปฏิสัมพันธ์ทางบวกและการรับผิดชอบในความสำเร็จส่วนบุคคล 2) จัดเป็นกลุ่มเล็ก 3-5 คน 3) ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างสอดคล้องและเป็นระบบการใช้
          การแนะนำและคำถาม (Cues and Questions) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้เฉพาะประเด็นที่สำคัญ 2) ให้คำแนะนำที่ชัดเจน 3) ถามคำถามเชิงอนุมาน 4) ถามคำถามเชิงวิเคราะห์
          การให้มโนทัศน์ล่วงหน้า (Advance Organizers) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้การอธิบายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 2) ใช้การบรรยายในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า 3) ใช้สรุปภาพรวมในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า) ใช้กราฟิกในการสร้างมโนทัศน์ล่วงหน้า
          การใช้ภาษากายแสดงออก (Nonlinguistic Representations) มีวิธีการดังนี้ 1) ใช้กราฟิกในการนำเสนอ 2) จัดกระทำหรือทำตัวแบบ 3) ใช้รูปแสดงความคิดนำเสนอ 4) สร้างรูปภาพสัญลักษณ์
          สรุปและจดบันทึก (Summarizing and note taking) มีวิธีการดังนี้ 1) สอนนักเรียนให้รู้จักวิธีการบันทึกสรุปที่มีประสิทธิภาพ 2) ใช้แบบฟอร์มการสรุป 3) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการบันทึกการสอนซึ่งกันและกัน          การให้การบ้าน (Assigning Homework) มีวิธีการดังนี้ 1) พัฒนาและสื่อสารนโยบายการมอบหมายการบ้านของโรงเรียน 2) ออกแบบการบ้านที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ทางวิธีการ 3) ให้ข้อมูลย้อนกลับในงานที่มอบหมาย
          การให้ฝึกปฏิบัติ (Providing Practice) มีวิธีการดังนี้ 1) ต้องบอกถึงวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติอย่างชัดเจน 2) ออกแบบการปฏิบัติที่เจาะจงและเวลาเหมาะสม 3) ให้ทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหา
          การบอกความเหมือนและความแตกต่าง (Identifying Similarity) มีวิธีการดังนี้ 1) วิธีการบอกความเหมือนความแตกต่างที่หลากหลายวิธี 2) แนะนำนักเรียนให้มีส่วนร่วมในกระบวนการของการกำหนดความเหมือนความแตกต่าง 3) ให้คำแนะนำที่ช่วยให้นักเรียนกำหนดความเหมือนความแตกต่างได้
          การสร้างและทดสอบสมมติฐาน (Generating and testing Hypothescs) มีวิธีการดังนี้ 1) ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ในรูปแบบของการสร้างและทดสอบสมมติฐานที่หลากหลาย 2) การและให้นักเรียนอธิบายสมมติฐานและและข้อสรุป

สรุป (Conclusion) ผู้
          สอนเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนผู้สอนทุกคนต้องตระหนักและยอมรับเสมอว่าครูมีหน้าที่สอนผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันทุกกลุ่มและทุกรายวิชาไม่ว่าผู้เรียนจะมีความพิการหรือไม่ก็ตามผู้เรียนปกติทั่วไปก็มีความแตกต่างในความสามารถและลักษณะนิสัยดังนั้นการคำนึงถึงการออกแบบที่เป็นสากล (Universal Design) จึงมีความจำเป็นโดยก่อนอื่นผู้สอนต้องสำรวจทำความรู้จักผู้เรียนที่จะสอนให้ทั่วถึงสำรวจดูว่ามีผู้เรียนที่พิการในห้องเรียนไหมหรือมีใครที่มีความต้องการพิเศษทางการศึกษาเช่นทำงานช้าเรียนรู้ช้ามีสมาธิสั้นเป็นต้นและที่สำคัญต้องสังเกตแบบลีลาการเรียนรู้ (Learning Style) ของผู้เรียนคือผู้เรียนบางคนสามารถเรียนรู้ได้ดีจากการฟังบรรยายผู้เรียนบางคนจะเข้าใจได้ดต้องรูปภาพประกอบหรือใช้สือตัวอย่างแสดงให้เห็นหรือผู้เรียนบางคนต้องลงมือปฏิบัติการจัดทำสื่อการ19 "ควรคำนึงถึงผู้เรียนทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้เรียนปกติหรือพิการเช่นจัดทำวิดีโอเทปหรือเพาเวอร์พอยท์ประกอบเสียงและตัวหนังสือกำกับเป็นต้นเมื่อรู้จักผู้เรียนแล้วผู้สอนจะได้เลือกแบบ / ลีลาการสอน (Teaching Style) ได้ถูกแบบการสอนมีหลายแบบเพื่อให้เหมาะกับผู้เรียนหลายประเภทเช่นในบางโพอาจเป็นการบรรยายบางเนื้อหาอาจให้ลงไปเก็บข้อมูลตามแหล่งเรียนรู้ต่างๆแล้วนำมาเสนอเป็นต้นการเขียนคำอธิบายรายวิชาควรมีความชัดเจนว่าผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนได้อะนรตางๆแล้วนำมาเสนออภิปรายร่วมกันคองการให้ผู้เรียนได้อะไรโดยวิธีใดและ
คาดหวังอย่างไรควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเสนอแนะในสิ่งที่ต้องการอยากรู้เพิ่มเติมหรือปรับกิจกรรมบางส่วนในรายวิชานั้นๆได้ด้วย



ตรวจสอบและทบทวน (Review and Reflect on your learning)
          ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้นการออกแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยเขียนแผนการสอนตามรูปแบบthe STUDIES Model ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสาขาวิชาเอกที่เรียนโดยกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้และจัดหาหรือผลิตสื่อการเรียนรู้ประกอบบทเรียน


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น