7.1
บทที่ 6
การบูรณาการความรู้ (Integrated Knowledge)
การพัฒนาผู้เรียนตามความสามารถที่แตกต่างกันจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถทุกด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ (Gardner อ้างในวิชัยวงษ์ใหญ่, 2542: 8-11)นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้นำเสนอทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence theory) สรุปได้ว่าผู้เรียนมีความสามารถทั้ง 8 ด้านคือด้านภาษาด้านตรรกและคณิตศาสตร์ด้านภาพมิติสัมพันธ์ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวด้านดนตรีด้านมนุษยสัมพันธ์ด้านการเข้าใจตนเองและด้านความเข้าใจสภาพธรรมชาติการเสริมสร้างความเก่งหรือศักยภาพความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนผู้สอนจะต้องเข้าใจผู้เรียนรู้ถึงความถนัดความสามารถในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อจะกระตุ้นความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนให้มีความเด่นชัดปรากฎออกมาด้วยความรู้ความเข้าใจผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจมีความอดทนในการสังเกตประเมินจากผลการเรียนรู้ของผู้เรียนการพัฒนาความสามารถผู้สอนจึงมีหน้าที่ค้นหาความสามารถของ
การบูรณาการ
|
วิธีการ / กิจกรรม
|
การประเมิน
|
ผลการเรียนรู้
|
สอดแทรก
|
ผู้สอนกำหนดหัวเรื่องและสอดแทรกสาระจากวิชาอื่นเข้ามาในวิชาของตนและมอบหมายงานตามที่กำหนด
|
ประเมินจากงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
|
ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาและเรียนรู้อย่างมีความหมาย
|
คู่ขนาน
|
ผู้สอนหลายคนวางแผนร่วมกันโดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอดปัญหาผู้สอนแต่ละคนสอนในวิชาของตนภายในหัวเรื่องเดียวกันและมอบหมายงานโครงงานทำร่วมกันเป็นโครงงานย่อยของแต่ละรายวิชาให้กับผู้เรียน
|
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามที่เกณฑ์กำหนด
|
ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาสร้างสรรค์งานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมาย
|
พหุวิทยาการ
|
ผู้สอนหลายคนวางแผนการสอนร่วมกันโดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอดปัญหาสถานการณ์แล้วผู้สอนแต่ละคนต่างแยกกันสอนภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน
|
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
|
ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาสร้างสรรค์งานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมายมีประสบการณ์
|
สอนเป็นทีมหรือข้ามวิชา
|
ผู้สอนหลายคนวางแผนร่วมกันสอนเป็นทีมโดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอดปัญหาสถานการณ์สาระจุดประสงค์โดยร่วมกันสอนเป็นทีมในเรื่องเดียวกันตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดให้กับผู้เรียนกลุ่มเดียวกันผู้สอนกำหนดโครงการชิ้นงานให้ผู้เรียนทำร่วมกันเป็นงานใหญ่ชิ้นเดียวมีกิจกรรมการแสวงหาความรู้การปฏิบัติงานร่วมกัน
|
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
|
ผู้เรียนมีความรู้ในการเชื่อมโยงสาขาวิชาต่างๆนำความรู้มาสร้างสรรค์โครงการชิ้นงานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมายมีประสบการณ์มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา
|
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตัวเอง การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหมายถึงการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้เรียนรู้โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลสื่อและสิ่งแวดล้อมต่างๆโดยใช้กระบวนการต่างๆเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่นคำถามคือผู้สอนจะมีวิธีการหรือเทคนิคที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างไรผู้สอนทั่วไปยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยเข้าใจว่าการให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเองคือการปล่อยให้ผู้เรียนเรียนรู้กันเองโดยที่ผู้สอนไม่ต้องมีบทบาทอะไรหรือใช้วิธีสั่งให้ผู้เรียนไปที่ห้องสมุดอ่านหนังสือกันเองแล้วเขียนรายงานมาส่งซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแม้ว่าการให้การเรียนรู้เกิดขึ้นที่ตัวผู้เรียนเป็นลักษณะที่ถูกต้องของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแต่การที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ขึ้นมาได้เองนั้นเป็นเรื่องยากผู้สอนจึงต้องมีหน้าที่เตรียมจัดสถานการณ์และกิจกรรมต่างๆนำทางไปสู่การเรียนรู้โดยไม่ใช้วิธีบอกความรู้โดยตรงหรือถ้าจะจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้โดยใช้ห้องสมุดเป็นแหล่งข้อมูลผู้สอนจะต้องสำรวจให้รู้ก่อนว่าภายในห้องสมุดมีข้อมูลอะไรอยู่บ้างอยู่ที่ใดจะค้นหาอย่างไรแล้วจึงวางแผนสั่งการผู้เรียนต้องรู้เป้าหมายของการค้นหาจากคำสั่งที่ผู้สอนให้รวมถึงการแนะแนวทางที่จะทำงานให้สำเร็จและในขณะที่ผู้เรียนลงมือปฏิบัติผู้สอนควรสังเกตการณ์อยู่ด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกนำข้อมูลนั้นมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกับผู้อื่น ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนอีกประการหนึ่งคือผู้สอนเข้าใจว่าการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ต้องจัดโต๊ะเก้าอี้ให้ผู้เรียนได้นั่งรวมกลุ่มกันโดยไม่เข้าใจว่าการนั่งรวมกลุ่มนั้นทำเพื่ออะไรความเข้าใจที่ถูกต้องคือเมื่อผู้เรียนจะต้องทำงานร่วมกันจึงจัดเก้าอี้ให้นั่งรวมกันเป็นกลุ่มไม่ใช่นั่งรวมกลุ่มกันแต่ต่างคนต่างทำงานของตัวเองการจัดให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันผู้สอนจะต้องกำกับดูแลให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนมีบทบาทในการทำงานซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนการสอนประเภทหนึ่งที่ผู้สอนควรศึกษาเป็นแนวทางนำไปใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรมคือรูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกัน (Cooperative Learning) วิทยากรเชียงกูล (2549) ได้กล่าวถึงลักษณะการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกันเป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆกลุ่มละ 4-5 คนโดยสมาชิกในกลุ่มมีระดับความสามารถแตกต่างกันสมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ร่วมกันในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมีเป้าหมายและมีโอกาสได้รับรางวัลของความสำเร็จร่วมกันวิธีการแบบนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในเชิงบวกมาปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้ากันได้มีโอกาสรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่มได้พัฒนาทักษะทางสังคมและได้ใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงานเพื่อสร้างความรู้ให้กับตนเอง
การบูรณาการตามตัวชีวัดการประกันคุณภาพการศึกษา
สำนักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา (2553 หน้า 119-128) การบูรณาการตามตัวชี้วัดการประกันคุณภาพการศึกษามีลักษณะดังนี้ (อ้างถึงในสำนักบริการวิชาการและจัดหารายได้มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร http: / / asLkpru. ac. th / asr / images / FilesUpload / Gather-knowledge-of-document-integration 59. pdf )
1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี
สาโรชบัวศรี (2526) มีนักศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูงในวงการศึกษาท่านนี้เป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความคิดในการนำหลักพุทธธรรมมาใช้ในการเรียนการสอนมานานกว่า 20 ปีมาแล้วโดยการประยุกต์หลักอริยสัจ 4 อันได้แก่ทุกข์สมุทัยนิโรธและมรรคมาใช้เป็นกระบวนการแก้ปัญหาโดยใช้ควบคู่กับแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า“ กิจในอริยสัจ 4” อันประกอบด้วยปริญญา (การกำหนดรู้) ปหานะ (การละ) สัจฉิกิริยาการทำให้แจ้ง) และภาวนา (การเจริญหรือการลงมือปฏิบัติ) จากหลักทั้งสองท่านได้เสนอแนะการสอนกระบวนการแก้ปัญหาไว้เป็นขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือการให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข 2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือการให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและตั้งสมมติฐาน 3. ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือการให้ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล 4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป
2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมนอม รวิวัฒน์
สุมนอมรวิวัฒน์ (2524: 196-199) ราชบัณฑิตสำนักธรรมศาสตร์และการเมืองสาขาการศึกษาคณะครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกิตติเมธีของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตรไว้ว่าเป็นกระบวนการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1. ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2. ชี้สุขเกษมศานติ์กระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นหลักที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้คือหลักอริยสัจ 4 มาใช้ควบคู่กับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7, ในการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน 8 ขั้นด้วยกันดังนี้
3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี
ประเวศ วะสี (2542) นักคิดคนสำคัญของประเทศไทยผู้มีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้นท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญาซึ่งควรฝึกฝนให้แก่ผู้เรียนประกอบด้วยขั้นตอน 10 ขั้นดังนี้ 3. 1 ฝึกสังเกตให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆให้มากให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว 3. 2 ฝึกบันทึกให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆและจดบันทึกรายละเอียดที่สังเกตเห็น 3. 3 ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุมเมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตหรือทำอะไรหรือเรียนรู้อะไรมาให้ฝึกนำเสนอเรื่องนั้นต่อที่ประชุม 3. 4 ฝึกการฟังการฟังผู้อื่นช่วยให้ได้ความรู้มากผู้เรียนจึงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี 3. 5 ฝึกปุจฉา-วิสัชนาให้ผู้เรียนฝึกการถาม – การตอบซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องที่ศึกษารวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผลการวิเคราะห์และการสังเคราะห์ 3. 6 ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถามให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคำถามเพราะคำถามเป็นเครื่องสำคัญในการได้มาซึ่งความรู้ต่อไปจึงให้ผู้เรียนฝึกตั้งสมมติฐานและหาคำตอบ 3. 7 ฝึกการค้นหาคำตอบเมื่อมีคำถามและสมมติฐานแล้วควรให้ผู้เรียนฝึกค้นหาคำตอบจากแหล่งต่างๆเช่นหนังสือตำราอินเตอร์เน็ตหรือไปสอบถามจากผู้รู้เป็นต้น 3. 8 ฝึกการวิจัยการวิจัยเป็นกระบวนการหาคำตอบที่จะช่วยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่ 3. 9 ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการบูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนเรียนรู้อะไรมาแล้วควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไรอันจะทำให้เกิดมิติทางจริยธรรมขึ้นช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 3. 10 ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดแล้วควรให้ผู้เรียนฝึกเรียบเรียงความรู้ที่ได้การเรียบเรียงจะช่วยให้ความคิดประณีตขึ้นทำให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้นการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นวิธีการสำคัญในการพัฒนาปัญญาของตนและเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป
4. กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช
ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2542: 4-5) นักรัฐศาสตร์และราชบัณฑิตสำนักธรรมศาสตร์และการเมืองและผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยนักคิดผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทยซึ่งหันมาสนใจและพัฒนางานทางด้านการศึกษาอย่างจริงจังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการคิดไว้ว่าการคิดของคนเรามีหลายรูปแบบโดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4 แบบและได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง 4 แบบไว้ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้ดังนี้ 4. 1 การคิดแบบนักวิเคราะห์ (analytical) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง (fact) คูตรรกะ (logic) ทิศทาง (direction) หาเหตุผล (reason) และมุ่งแก้ปัญหา (problem solving)
5. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณี และคณะ
ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543) ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการคิดไว้ 6 ด้านคือ
5. 1 มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิดการคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วนคือเนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิดคือต้องมีการคิดอะไรควบคู่ไปกับการคิดอย่างไรซึ่งเรื่องหรือข้อมูลที่คิดนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะกำหนดได้อย่างไรก็ตามอาจจัดกลุ่มใหญ่ๆได้เป็น 3 กลุ่มคือข้อมูลเกี่ยวกับตนเองข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลวิชาการ (โกวิทวรวิพัฒน์อ้างถึงในอุ่นตานพคุณ, 2530: 29 – 36)
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผลผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างกว้างขวางลึกซึ้งและผ่านการพิจารณากลั่นกรองไตร่ตรองทั้งทางด้านคุณโทษและคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นมาแล้ว เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณจะมีความสามารถดังนี้ 1. สามารถกำหนดเป้าหมายในการคิดอย่างถูกต้อง 2. สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน 3. สามารถประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเกี่ยวกับที่คิดทั้งทางด้านกว้างทางลึกและไกล 4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้ 5. สามารถประเมินข้อมูลได้ 6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลและเสนอคำตอบทางเลือกที่สมเหตุสมผลได้ 7. สามารถเลือกทางเลือกลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้ วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 1. ตั้งเป้าหมายในการคิด 2. ระบุประเด็นในการคิด 3. ประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้างลึกและไกล 4. วิเคราะห์จำแนกแยกแยะข้อมูลจัดหมวดหมู่ของข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้ 5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้องความเพียงพอและความน่าเชื่อถือ 6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือกคำตอบที่สมเหตุสมผลตามข้อมูลที่มี 7. เลือกทางเลือกที่เหมาสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาและคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น 8. ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียคุณโทษในระยะสั้นและระยะยาว 9. ไตร่ตรองทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ 10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด
6. กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2542 ข: 3-4) ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) และนักคิดคนสำคัญของประเทศได้อภิปรายไว้ว่าหากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้ไม่เสียเปรียบไม่ถูกหลอกง่ายและสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้คนไทย“ คิดเป็น” คือรู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้องและท่านได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาความสามารถในการคิดใน 10 มิติให้แก่คนไทยโดยท่านได้ให้ความหมายของการคิดใน 10 มิติดังกล่าวไว้ซึ่งผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับครูเพื่อใช้ในการพัฒนาผู้เรียนดังนี้
มิติที่ 1 ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดยฝึกให้ผู้เรียนท้าทายและโต้แย้งข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่โยงความคิดเหล่านั้นเพื่อเปิดทางสู่แนวความคิดอื่นๆที่อาจเป็นไปได้
มิติที่ 2 ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking) พัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนสืบค้นข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างโดยการตีความ (interpretation) การจำแนกแยกแยะ (classification) และการทำความเข้าใจ (understanding) กับองค์ประกอบของสิ่งนั้นและองค์ประกอบอื่นๆที่สัมพันธ์กันรวมทั้งเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (causal relationship) ที่ไม่ขัดแย้งกันระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นด้วยเหตุผลที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ
มิติที่ 3 ความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis type thinking) และการฝึกให้ผู้เรียนรวมองค์ประกอบที่แยกส่วนกันมาหลอมรวมภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสมซึ่งจะช่วยพัฒนาผู้เรียนความสามารถของผู้เรียนในการคิดเชิงสังเคราะห์ได้
มิติที่ 4 ความสามารถในการคิดเชิงเปรียบเทียบ (comparative thinking) การฝึกให้ผู้เรียนค้นหาความเหมือนและ / หรือความแตกต่างขององค์ประกอบตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขึ้นไปเพื่อใช้ในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งบนมาตรการ (criteria) เดียวกันเป็นวิธีการช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงเปรียบเทียบได้ดี
มิติที่ 5 ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ (conceptual thinking) ผู้เรียนจะสามารถพัฒนาทักษะในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกการนำข้อมูลทั้งหมดมาประสานกันและสร้างเป็นกรอบความคิดใหม่ขึ้นมาใช้ในการตีความข้อมูลอื่นๆต่อไป
มิติที่ 6 ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative thinking) ความสามารถด้านนี้พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดออกนอกกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ทำให้ได้แนวทางใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน
มิติที่ 7 ความสามารถในการคิดเชิงประยุกต์ (applicative thinking) การคิดประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกนำสิ่งต่างๆที่มีอยู่เดิมไปใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์ใหม่และปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบุคคลสถานที่เวลาและเงื่อนไขใหม่ได้อย่างเหมาะสม
มิติที่ 8 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic thinking) ความสามารถในด้านนี้พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
มิติที่ 9 ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ (integrative thinking) คือการฝึกให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเรื่องในมุมต่างๆเข้ากับเรื่องหลักๆได้อย่างเหมาะสม
มิติที่ 10 ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต (Futuristic thinking) เป็นความสามารถในการคิดขั้นสูงซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคาดการณ์และประมาณการการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตโดยการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยาสมมติฐานข้อมูลและความสัมพันธ์ต่างๆของในอดีตและปัจจุบันเพื่อคาดการณ์ทิศทางหรือขอบเขตทางเลือกที่เหมาะสมอีกทั้งมีพลวัตรสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2532) นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่าควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและดำเนินการสอนตามขั้นตอนดังนี้ 7. 1 กำหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา 7. 2 เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน 7. 3 ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม 7. 4 แลกเปลี่ยนผลการประเมิน 7. 5 ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสำเร็จ 7. 6 เพิ่มระดับความขัดแย้ง 7. 7 ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง 7. 8 กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง
8. การจัดการเรียนการสอนเน้นกระบวนการ โดย กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอแนะการจัดการเรียนการสอน 12 กระบวนการด้วยกันดังนี้ (กรมวิชาการ 2534) 8. 1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น) 8. 2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด 8. 3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 8. 4 กระบวนการแก้ปัญหา 8. 5 กระบวนการสร้างความตระหนัก 8. 6 กระบวนการปฏิบัติ 8. 7 กระบวนการคณิตศาสตร์ 8. 8 กระบวนการเรียนภาษา 8. 9 กระบวนการกลุ่ม 8. 10 กระบวนการสร้างเจตคติ 8. 11 กระบวนการสร้างค่านิยม 8. 12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (2534) ได้ให้ความหมายของการสอนที่เน้นกระบวนการไว้ว่าเป็นการสอนที่ ก. สอนให้ผู้เรียนสามารถทำตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ใหม่ๆ ข, สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะสามารถนำไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
8. 1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
1. ตระหนักในปัญหาและความจำเป็น
ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างและกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักในปัญหาความจะเป็นของเรื่องที่ศึกษาหรือเห็นประโยชน์และความสำคัญของการศึกษาเรื่องนั้น ๆ โดยครูอาจนำเสนอเป็นกรณีตัวอย่างหรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่จะศึกษาโดยใช้สื่อประกอบเช่นรูปภาพวิดีทัศน์สถานการณ์จริงกรณีตัวอย่างสไลด์ ฯลฯ
2. คิดวิเคราะห์วิจารณ์
ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์วิจารณ์ตอบคำถามทำแบบฝึกหัดและให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล
3. สร้างทางเลือกให้หลากหลายให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายโดยร่วมกันคิดเสนอทางเลือกและอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกนั้น
4. ประเมินและเลือกทางเลือกให้ผู้เรียนพิจารณาตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาและร่วมกันสร้างเกณฑ์โดยคำนึงถึงปัจจัยวิธีดำเนินการผลผลิตข้อจำกัดความเหมาะสมกาลเทศะเพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกแนวทางการแก้ปัญหาซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมองอภิปรายศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ฯลฯ 5. กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ
ให้ผู้เรียนวางแผนในการทำงานของตนเองหรึอหลุ่มโดยอาจใช้ลำดับขั้นการดำเนินงานดังนี้
5. 1 ศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐาน
5. 2 กำหนดวัตถุประสงค์
5. 3 กำหนดขั้นตอนการทำงาน
5. 4 กำหนดผู้รับผิดชอบ (กรณีทำร่วมกันเป็นกลุ่ม)
5. 5 กำหนดระยะเวลาการทำงาน
5. 6 กำหนดวิธีการประเมิน
6. ปฏิบัติด้วยความชื่นชมให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ด้วยความสมัครใจตั้งใจมีความกระตือรือร้นและเพลิดเพลินกับการทำงาน
7. ประเมินระหว่างปฏิบัติให้ผู้เรียนสำรวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการซักถามอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนและตามแผนงานที่กำหนดไว้โดยสรุปผลการทำงานแต่ละช่วงแล้วเสนอแนวทางการปรับปรุงการทำงานขั้นต่อไป
8. ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอผู้เรียนนำผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอนมาเป็นแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
9. ประเมินผลรวมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจผู้เรียนสรุปผลการดำเนินงานโดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และผลพลอยได้อื่นๆซึ่งอาจเผยแพร่ขยายผลงานแก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ
8. 2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
1. สังเกต
ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูลและศึกษาด้วยวิธีการต่างๆโดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อกำหนดเฉพาะด้วยตนเอง
2. จำแนกความแตกต่าง
ให้ผู้เรียนบอกถึงความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น
3. หาลักษณะร่วม
ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้และสรุปเป็นวิธีการหลักการคำจำกัดความหรือนิยาม
4. ระบุชื่อความคิดรวบยอด
ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้
5. ทดสอบและนำไปใช้
ผู้เรียนได้ทดลองทดสอบสังเกตทำแบบฝึกหัดปฏิบัติเพื่อประเมินความรู้
8. 3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความจำจนถึงขั้นการวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่าตามแนวคิดของบลูม (Bloom) หรือแนวความคิดของกานเย่ (Gagne) ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็นความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์และนำกฎเกณฑ์ไปใช้ผู้สอนควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปนี้ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆอาจจะเลือกใช้เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นสังเกต
ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมรับรู้แบบปรนัยให้เกิดความเข้าใจได้ความคิดรวบยอดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆสรุปเป็นใจความสำคัญครบถ้วนตรงตามหลักฐานข้อมูล
2. อธิบาย
ให้ผู้เรียนตอบคำถามแสดงความคิดเห็นเชิงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำหนดเน้นการใช้เหตุผลด้วยหลักการกฎเกณฑ์และอ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ
3. รับฟัง
ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อความคิดของตนได้ตอบคำถามโต้ตอบและแสดงความคิดเห็นของตนฝึกให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนความคิดเดิมของตนตามเหตุผลหรือข้อมูลที่ดีโดยไม่ใช้อารมณ์
4. เชื่อมโยงความสัมพันธ์
ให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่างและความคล้ายคลึงของสิ่งต่างๆให้สรุปจัดกลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกันเชื่อมโยงเหตุการณ์เชิงสาเหตุและผลหากกฎเกณฑ์การเชื่อมโยงในลักษณะอุปมาอุปไมย
5. วิจารณ์
จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์คำกล่าวแนวคิดหรือการกระทำแล้วให้จำแนกหาจุดเด่นจุดด้อยส่วนดีส่วนเสียส่วนสำคัญไม่สำคัญจากสิ่งนั้นด้วยการยกเหตุผลหลักการมาประกอบการวิจารณ์
6. สรุป
จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วนประกอบของการกระทำหรือข้อมูลต่างๆที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันแล้วให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
8. 4 กระบวนการแก้ปัญหา
กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด
1. สังเกต
ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูลรับรู้และทำความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุปและตระหนักในปัญหานั้น
2. วิเคราะห์
ให้ผู้เรียนได้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญหาสภาพสาเหตุและลำดับความสำคัญของปัญหา
3. สร้างทางเลือก
ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งอาจมีการทดลองค้นคว้าตรวจสอบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำกิจกรรมกลุ่มและควรมีการกำหนดหน้าที่ในการทำงานให้แก่ผู้เรียนด้วย
4. เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
ผู้เรียนปฏิบัติตามแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงานเพื่อรายงานและตรวจสอบความถูกต้องของทางเลือก
5. สรุป
ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเองซึ่งอาจจัดทำในรูปของรายงาน
8. 5 กระบวนการสร้างความตระหนัก กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนให้ความสนใจเอาใจใส่รับรู้เห็นคุณค่าในปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมขั้นตอนการดำเนินการมีดังนี้ 1. สังเกต ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเอาใจใส่และเห็นคุณค่า 2. วิจารณ์ ให้ตัวอย่างสถานการณ์ประสบการณ์ตรงเพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุและผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 3. สรุป ให้อภิปรายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนักและวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น
8. 6 กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะมีขั้นตอนดังนี้ 1. สังเกตรับรู้ ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความคิดรวบยอด 2. ทำตามแบบ ทำตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอนจากขั้นพื้นฐานไปสู่งานที่ซับซ้อนขึ้น 3. ทำเองโดยไม่มีแบบ เป็นการให้ฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง 4. ฝึกให้ชำนาญ ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญหรือทำได้โดยอัตโนมัติซึ่งอาจเป็นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่
8. 7 กระบวนการคณิตศาสตร์ กระบวนการนี้มี 2 วิธีการคือสอนทักษะทางคิดคำนวณและทักษะแก้ปัญหาโจทย์การสอนทักษะการคิดคำนวณมีขั้นตอนย่อยคือสร้างความคิดรวบยอดของคำนิยามศัพท์สอนกฏโดยวิธีอุปนัย (สอนจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่) ฝึกการวินิจฉัยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์มีขั้นตอนย่อยคือแปลโจทย์ในเชิงภาษาหาวิธีแก้ปัญหาโจทย์วางแผนปฏิบัติตามขั้นตอนและตรวจสอบคำถาม
8. 8 กระบวนการเรียนภาษา กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะทางภาษามีขั้นตอนดังนี้ 1. ทำความเข้าใจสัญลักษณ์สื่อรูปภาพรูปแบบเครื่องหมาย ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคำกลุ่มคำประโยคและถ้อยคำสำนวนต่างๆ 2. สร้างความคิดรวบยอด ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์นำมาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง 3. สื่อความหมายความคิด ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ 4. พัฒนาความสามารถ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้ความจำความเข้าใจการนำไปใช้การวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า
8. 9 กระบวนการกลุ่ม กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันโดยเน้นกิจกรรมดังนี้ 1. มีผู้นำกลุ่มซึ่งอาจผลัดเปลี่ยนกัน 2. วางแผนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ 3. รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล 4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบเมื่อมีการปฏิบัติ 5. ติดตามผลการปฏิบัติและปรับปรุง 6. ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของคณะ
8. 10 กระบวนการสร้างเจตคติ กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่แทรกได้กับทุกเนื้อหาเน้นความรู้สึกที่ดีต่อกลุ่มที่เรียนอาจเป็นความคิดหลักการการกระทำเหตุการณ์สถานการณ์ ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้ 1. สังเกต ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลเหตุการณ์การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติที่ไม่ดี 2. วิเคราะห์ ผู้เรียนพิจารณาผลที่จะเกิดขึ้นตามมาแยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจและการกระทำที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ 3. สรุป ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการแนวคิดแนวปฏิบัติ
8. 11 กระบวนการสร้างค่านิยม กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับและเห็นคุณค่าของค่านิยมด้วยตนเองมีขั้นตอนดังนี้ 1. สังเกตตระหนัก ผู้เรียนพิจารณาการกระทำที่เหมาะสมและการกระทำที่ไม่เหมาสมรับรู้ความหมายจำแนกการกระทำที่แตกต่างกันได้ 2. ประเมินเชิงเหตุผล ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็นวิเคราะห์วิจารณ์การกระทำของตัวละครหรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด 3. กำหนดค่านิยม ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อความพอใจในการกระทำที่ควรกระทำในสถานการณ์ต่างๆพร้อมเหตุผล 4. วางแผนปฏิบัติ ผู้เรียนช่วยกันกำหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบกติกาการกระทำและสำรวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อกระทำดีแล้วเช่นการได้ประกาศชื่อให้เป็นที่ยอมรับ 5. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชมยินดี
8. 12 กระบวนการเรียนความรู้ความเข้าใจ กระบวนการนี้ใช้กับการเรียนเนื้อหาเชิงความรู้มีขั้นตอนดังนี้ 1. สังเกตตระหนัก ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลสาระความรู้เพื่อสร้างความคิดรวบยอดตั้งคำถามตั้งข้อสังเกตสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาคำตอบต่อไป 2. วางแผนปฏิบัติ ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์หรือคำถามที่ทุกคนสนใจจะหาคำตอบมาวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม 3. ลงมือปฏิบัติ ครูกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆได้แสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆเช่นค้นคว้าสัมภาษณ์ศึกษานอกสถานที่หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานที่วางไว้ 4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงแปลความตีความขยายความนำไปใช้วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า 5. สรุป ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้บันทึกลงสมุด จะเห็นได้ว่ากระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆดังได้เสนอไปแล้วข้างต้นมีจำนวนและความหลากหลายพอสมควรซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกเป็นจำนวนมากผู้สอนจึงพึงตระหนักว่าศาสตร์ทางการสอนได้ให้แนวคิดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างหลากหลายพอสมควรหากผู้สอนรู้จักแสวงหาศึกษาเรียนรู้และนำไปทดลองใช้จะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมีชีวิตชีวาและมีความหลากหลายไม่จำเจอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย
สรุป
การบูรณาการเป็นการนำศาสตร์สาขาวิชาต่างๆที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกันเนื้อหาวิชาต่างๆที่ใกล้เคียงกันหรือเกี่ยวข้องกันควรนำมาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เรียนรู้อย่างมีความหมายลดความซ้ำซ้อนเชิงเนื้อหาวิชาแนวคิดสำคัญที่ผู้สอนจะนำมาใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้นำข้อมูลหลากหลายที่เกิดจากการเรียนรู้ไปสัมพันธ์เชื่อมโยงก็คือแนวคิดเกี่ยวกับ“ การบูรณาการ” เหตุที่ต้องจัดให้มีการบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอนคือในชีวิตของคนเรามีเรื่องราวต่างๆที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกันไม่ได้แยกออกจากกันเป็นเรื่องๆเมื่อมีการบูรณาการเข้ากับชีวิตจริงโดยการเรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้ตัวแล้วขยายกว้างออกไปผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นและเรียนรู้อย่างมีความหมายเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ความคิดความสามารถและทักษะที่หลากหลาย
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้นการบรณาการความรู้ปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนหรือประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการทั้งของไทยและต่างประเทศเพื่อการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการคิดการเผชิญสถานการณ์การตัดสินใจและการแก้ปัญหาการพัฒนาทางด้านค่านิยมจริยธรรมเจตคติต่าง ๆ การพัฒนาทางด้านการคิดการปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นกลุ่มรวมทั้งการปฏิบัติและการแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษา พ. ศ. 2542
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น