7.1


บทที่ 6

การบูรณาการความรู้ (Integrated Knowledge)



        I : การบูรณาการความรู้ (Integrated Knowledge) การเชื่อมโยงความรู้ที่เกี่ยวข้องภายในศาสตร์ต่างๆของรายวิชาเดียวกันหรือหลากหลายวิชาเพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated learning Management) เป็นกระบวนการจัดประสบการณ์โดยเชื่อมโยงสาระความรู้ของศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ผู้เรียนได้รับความรู้ทักษะและเจตคติ        การบูรณาการความรู้หมายถึงการโยงความรู้หรือการสร้างความสัมพันธ์และรวมแนวคิดเป็นหนึ่งเดียวในสถานการณ์ต่างๆการบูรณาการทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและเป็นความรู้ที่ลุ่มลึกและยั่งยืนการบูรณาการความรู้เป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะในยุคที่มีความรู้ข้อมูลข่าวสารมากการบูรณาการความรู้อาจเขียนเป็นลำดับความสัมพันธ์ได้ดังนี้เริ่มจากข้อมูล (data) สารสนเทศ (information)-ความรู้ (knowledge) ปัญญา (wisdom) เป้าหมายหลักของการเรียนคือเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งที่ถือว่าสำคัญในเรื่องที่กำหนดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเพื่อแสวงหาและรวบรวมความรู้นวัตกรรมด้านการศึกษาจำนวนมากไม่สนใจความสำคัญของความรู้ด้านเนื้อหาแต่นักเรียนที่เรียนแบบบูรณาการความรู้โดยการสำรวจการจัดจำแนกการจัดการและการสังเคราะห์ความคิดและข้อมูลสารสนเทศเพื่อประเมินประสบการณ์และแก้ปัญหาบรรจุอยู่ในหลักสูตรเรียกว่าหลักสูตรบูรณาการ (Integrated Curricula) โดยนำความคิดหลักในวิชามาสัมพันธ์กันเป็นการเชื่อมโยงในแนวนอนระหว่างหัวข้อและเนื้อหาต่าง ๆ ที่เป็นความรู้ทั้ง ด้าน ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัยและสัมพันธ์กับวิชาอื่นด้วย

แนวการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ        

การพัฒนาผู้เรียนตามความสามารถที่แตกต่างกันจำเป็นต้องพัฒนาความสามารถทุกด้านตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ (Gardner อ้างในวิชัยวงษ์ใหญ่, 2542: 8-11)นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้นำเสนอทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence theory) สรุปได้ว่าผู้เรียนมีความสามารถทั้ง ด้านคือด้านภาษาด้านตรรกและคณิตศาสตร์ด้านภาพมิติสัมพันธ์ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหวด้านดนตรีด้านมนุษยสัมพันธ์ด้านการเข้าใจตนเองและด้านความเข้าใจสภาพธรรมชาติการเสริมสร้างความเก่งหรือศักยภาพความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนผู้สอนจะต้องเข้าใจผู้เรียนรู้ถึงความถนัดความสามารถในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อจะกระตุ้นความสามารถด้านต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตัวผู้เรียนให้มีความเด่นชัดปรากฎออกมาด้วยความรู้ความเข้าใจผู้สอนต้องมีความรู้ความเข้าใจมีความอดทนในการสังเกตประเมินจากผลการเรียนรู้ของผู้เรียนการพัฒนาความสามารถผู้สอนจึงมีหน้าที่ค้นหาความสามารถของผู้เรียนว่าเด่นและด้อยในเรื่องใดบ้างเพื่อจัดกิจกรรมสนับสนุนช่วยเหลือความสามารถในแต่ละด้านของผู้เรียนให้พัฒนาไปให้เต็มศักยภาพของตน        แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ. ศ. 2542 มาตรา 23 ระบุว่าการจัดการศึกษาต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้คุณธรรมกระบวนการเรียนรู้และบูรณาการซึ่งวิชัยวงษ์ใหญ่ (2547: 2) กล่าวว่าการบูรณาการคือการผสมผสานที่กลมกลืนกันอย่างมีคุณภาพระหว่างองค์ประกอบหรือปัจจัยต่าง ๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่มีเป้าหมายตรงกันเพื่อให้ได้มาสิ่งใหม่หรือสภาพใหม่ที่มีคุณค่าและสมบูรณ์แบบโดยมีอัตราส่วนผสมที่มอบหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพจะได้ประโยชน์จากการบูรณาการสู่ชีวิตและการเรียนรู้        การบูรณาการการเรียนรู้คือการเชื่อมโยงระหว่างสาขาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรจะช่วยให้ผู้เรียนตระหนักว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มีประโยชน์และสามารถประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงลักษณะการเรียนรู้จะจัดเป็นหน่วยการเรียนรู้หรือเป็นหัวเรื่อง        หน่วยบูรณาการthematic approach จะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้คือ           -ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมาย           -เกิดองค์ความรู้ความคิดแบบองค์รวมพัฒนาความสามารถการคิด           -เห็นความเชื่อมโยงนำไปสู่ความสามารถในการแก้ปัญหาแบบองค์รวม           -เกิดประสบการณ์นำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม           -ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง        วิชัย วงษ์ใหญ่ (2547: 4) กล่าวสรุปไว้ว่าลักษณะการบูรณาการ 4 แบบคือ           1. การสอดแทรก (infusion) การบูรณาการแบบเชื่อมโยงโดยผู้สอนคนเดียววิธีการสอดแทรกนี้ผู้สอนวิชาใดวิชาหนึ่งนำวิชาอื่น ๆ มาบูรณาการกับวิชาที่ตนสอนและสามารถเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้เชื่อมโยงกับหัวเรื่องชีวิตจริงหรือภาระการเรียนรู้ที่กำหนดขึ้นมา
           2. คู่ขนาน (parallel) วิธีการคู่ขนานผู้สอนหลายคนมาจากหลายวิชามาวางแผนร่วมกันเพื่อรวมองค์ประกอบของหัวเรื่อง (theme) มโนทัศน์ (concept)หรือปัญหา (problem) แล้วผู้สอนแต่ละคนแต่ละวิชาแยกกันและการกำหนดชิ้นงานขึ้นอยู่กับผู้สอนแต่ต้องสะท้อนถึงหัวเรื่องแนวคิดหรือปัญหาที่กำหนดไว้ร่วมกันการบูรณาการแบบคู่ขนานในการสอนผู้สอนอาจตกลงกันว่าจะยึดเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ 1 สอดคล้องกับการพัฒนาสังคมและชีวิตที่มีการเชื่อมโยงคู่ขนานเช่นผู้สอนวิทยาศาสตร์จะสอนเรื่องเงาผู้สอนศิลปะอาจจะให้ผู้เรียนรู้เทคนิคการวาดรูปที่มีเงา           3. พหุวิทยาการ (multidisciplinary) วิธีการพหุวิทยาการผู้สอนหลายคนมาจากหลายสาขาวิชามาวางแผนร่วมกันที่จะสอนเกี่ยวกับหัวเรื่อง (theme) มโนทัศน์ (concept) หรือปัญหา (Problem) และกำหนดภาพรวมของโครงการร่วมกันให้ออกมาเป็นชิ้นงานแบ่งโครงการออกเป็นโครงการย่อยการบูรณาการในหลายสาขาผู้สอนร่วมมือกันสอนเป็นแบบโครงการโดยใช้องค์ความรู้จากหลายๆสาขาวิชาทำให้ผู้เรียนสามารถวางแผนสร้างสรรค์โครงการของตนเองขึ้นมาได้โดยใช้เวลาการเรียนต่อเนื่องได้หลายชั่วโมง           4. การข้ามวิชาหรือการสอนเป็นทีม (transdisciplinary) วิธีการข้ามวิชาหรือสอนเป็นทีมผู้สอนแต่ละรายวิชามาวางแผนร่วมกันในองค์ประกอบของหัวเรื่อง (therme) มโนทัศน์ (concept) หรือปัญหา (problem) กำหนดเป็นโครงการขึ้นมาและร่วมกันสอนเป็นคณะ        กรมวิชาการ (กองวิจัยทางการศึกษากรมวิชาการ, 2545: 6-7) เสนอแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการไว้ ดังนี้           1. การบูรณาการแบบผู้สอนคนเดียวเป็นการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนหนึ่งคนมีการเชื่อมโยงสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ กับชีวิตจริงหรือการเชื่อมโยงสาระและกระบวนการเรียนรู้ภายในกลุ่มสาระต่าง ๆ เช่นการอ่านการเขียนคิดคำนวณการคิดวิเคราะห์ทำให้ผู้เรียนได้ใช้ทักษะและกระบวนการเรียนรู้ไปแสวงหาความรู้ความจริงจากหัวข้อเรื่องที่กำหนด           2. การบูรณาการแบบคู่ขนานเป็นการจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนสองคนขึ้นไปร่วมกันจัดการเรียนการสอนโดยยึดหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งเช่นครูคนหนึ่งสอนวิชาวิทยาศาสตร์ส่วนครูอีกคนหนึ่งสอนวิชาคณิตศาสตร์ในการสอนเรื่อง“ น้ำ” วิชาวิทยาศาสตร์อาจสอนเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำสถานะต่างๆส่วนวิชาคณิตศาสตร์อาจสอนการวัดปริมาตรหรือน้ำหนักของน้ำ           3. การบูรณาการแบบสหวิทยาการเป็นการจัดการเรียนการสอนจากการนำเนื้อหาจากหลายกลุ่มสาระมาเชื่อมโยงและจัดการเรียนการสอนร่วมกันในเรื่องเดียวกันเช่นในวันสิ่งแวดล้อมครูผู้สอนวิชาภาษาไทยจัดการเรียนการสอนให้เรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์จัดกิจกรรมค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาและวิชาสุขศึกษาให้เรียนรู้โดยทำกิจกรรมชมรมสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเป็นต้น           4. การบูรณาการแบบโครงการเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ครูผู้สอนและนักเรียนร่วมกันสร้างสรรค์โครงการและใช้เวลาเรียนต่อเนื่องกันได้หลายชั่วโมงโดยการนำจำนวนชั่วโมงของแต่ละรายวิชาที่แยกกันอยู่ที่เคยแยกกันสอนมารวมเป็นเรื่องเดียวกันกำหนดเป้าหมายเดียวกันในลักษณะของการสอนเป็นทีมถ้าต้องการเน้นทักษะเฉพาะก็สามารถแยกกันสอนได้เช่นกิจกรรมเข้าค่ายภาษาอังกฤษกิจกรรมค่ายศิลปะเป็นต้น        วิชัย วงษ์ใหญ่ (2547: 5) สรุปภาพรวมของรูปแบบเรียนการสอนแบบการบูรณาการวิธีการกิจกรรมการประเมินผลและผลการเรียนรู้ไว้ ดังนี้ตารางที่ 22 รูปแบบการบูรณาการ วิธีการ / กิจกรรม การประเมิน และผลการเรียนรู้
การบูรณาการ
วิธีการ / กิจกรรม
การประเมิน
ผลการเรียนรู้
สอดแทรก
ผู้สอนกำหนดหัวเรื่องและสอดแทรกสาระจากวิชาอื่นเข้ามาในวิชาของตนและมอบหมายงานตามที่กำหนด
ประเมินจากงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาและเรียนรู้อย่างมีความหมาย
คู่ขนาน
ผู้สอนหลายคนวางแผนร่วมกันโดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอดปัญหาผู้สอนแต่ละคนสอนในวิชาของตนภายในหัวเรื่องเดียวกันและมอบหมายงานโครงงานทำร่วมกันเป็นโครงงานย่อยของแต่ละรายวิชาให้กับผู้เรียน
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามที่เกณฑ์กำหนด
ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาสร้างสรรค์งานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมาย
พหุวิทยาการ
ผู้สอนหลายคนวางแผนการสอนร่วมกันโดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอดปัญหาสถานการณ์แล้วผู้สอนแต่ละคนต่างแยกกันสอนภายใต้หัวเรื่องเดียวกัน
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
ผู้เรียนสามารถนำความรู้จากวิชาต่าง ๆ มาสร้างสรรค์งานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมายมีประสบการณ์
สอนเป็นทีมหรือข้ามวิชา
ผู้สอนหลายคนวางแผนร่วมกันสอนเป็นทีมโดยกำหนดหัวเรื่องความคิดรวบยอดปัญหาสถานการณ์สาระจุดประสงค์โดยร่วมกันสอนเป็นทีมในเรื่องเดียวกันตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่กำหนดให้กับผู้เรียนกลุ่มเดียวกันผู้สอนกำหนดโครงการชิ้นงานให้ผู้เรียนทำร่วมกันเป็นงานใหญ่ชิ้นเดียวมีกิจกรรมการแสวงหาความรู้การปฏิบัติงานร่วมกัน
ประเมินโครงงานและชิ้นงานที่มอบหมายตามเกณฑ์ที่กำหนด
ผู้เรียนมีความรู้ในการเชื่อมโยงสาขาวิชาต่างๆนำความรู้มาสร้างสรรค์โครงการชิ้นงานได้และเรียนรู้อย่างมีความหมายมีประสบการณ์มีศักยภาพในการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา


การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ        
เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตัวเอง        การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญหมายถึงการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้เรียนรู้โดยพยายามจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้สร้างความรู้ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลสื่อและสิ่งแวดล้อมต่างๆโดยใช้กระบวนการต่างๆเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์อื่นคำถามคือผู้สอนจะมีวิธีการหรือเทคนิคที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นั้นๆได้อย่างไรผู้สอนทั่วไปยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญโดยเข้าใจว่าการให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเองคือการปล่อยให้ผู้เรียนเรียนรู้กันเองโดยที่ผู้สอนไม่ต้องมีบทบาทอะไรหรือใช้วิธีสั่งให้ผู้เรียนไปที่ห้องสมุดอ่านหนังสือกันเองแล้วเขียนรายงานมาส่งซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องแม้ว่าการให้การเรียนรู้เกิดขึ้นที่ตัวผู้เรียนเป็นลักษณะที่ถูกต้องของการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแต่การที่ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ขึ้นมาได้เองนั้นเป็นเรื่องยากผู้สอนจึงต้องมีหน้าที่เตรียมจัดสถานการณ์และกิจกรรมต่างๆนำทางไปสู่การเรียนรู้โดยไม่ใช้วิธีบอกความรู้โดยตรงหรือถ้าจะจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้โดยใช้ห้องสมุดเป็นแหล่งข้อมูลผู้สอนจะต้องสำรวจให้รู้ก่อนว่าภายในห้องสมุดมีข้อมูลอะไรอยู่บ้างอยู่ที่ใดจะค้นหาอย่างไรแล้วจึงวางแผนสั่งการผู้เรียนต้องรู้เป้าหมายของการค้นหาจากคำสั่งที่ผู้สอนให้รวมถึงการแนะแนวทางที่จะทำงานให้สำเร็จและในขณะที่ผู้เรียนลงมือปฏิบัติผู้สอนควรสังเกตการณ์อยู่ด้วยเพื่ออำนวยความสะดวกนำข้อมูลนั้นมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนในครั้งต่อไป        เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานร่วมกับผู้อื่น        ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของผู้สอนอีกประการหนึ่งคือผู้สอนเข้าใจว่าการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ต้องจัดโต๊ะเก้าอี้ให้ผู้เรียนได้นั่งรวมกลุ่มกันโดยไม่เข้าใจว่าการนั่งรวมกลุ่มนั้นทำเพื่ออะไรความเข้าใจที่ถูกต้องคือเมื่อผู้เรียนจะต้องทำงานร่วมกันจึงจัดเก้าอี้ให้นั่งรวมกันเป็นกลุ่มไม่ใช่นั่งรวมกลุ่มกันแต่ต่างคนต่างทำงานของตัวเองการจัดให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันผู้สอนจะต้องกำกับดูแลให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนมีบทบาทในการทำงานซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนการสอนประเภทหนึ่งที่ผู้สอนควรศึกษาเป็นแนวทางนำไปใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรมคือรูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกัน (Cooperative Learning) วิทยากรเชียงกูล (2549) ได้กล่าวถึงลักษณะการจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเรียนรู้ร่วมกันเป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆกลุ่มละ 4-5 คนโดยสมาชิกในกลุ่มมีระดับความสามารถแตกต่างกันสมาชิกทุกคนมีบทบาทหน้าที่ร่วมกันในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายมีเป้าหมายและมีโอกาสได้รับรางวัลของความสำเร็จร่วมกันวิธีการแบบนี้ผู้เรียนจะมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกันในเชิงบวกมาปฏิสัมพันธ์แบบเผชิญหน้ากันได้มีโอกาสรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายจากกลุ่มได้พัฒนาทักษะทางสังคมและได้ใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงานเพื่อสร้างความรู้ให้กับตนเอง        เทคนิคการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน        ตามความหมายของการเรียนรู้ที่แท้จริงคือผู้เรียนต้องมีโอกาสนำความรู้ที่เรียนรู้มาไปใช้ในการดำเนินชีวิตสิ่งที่เรียนรู้กับชีวิตจริงจึงต้องเป็นเรื่องเดียวกันผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ความรู้ได้โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนต้องแก้ปัญหาและนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้หรือให้ผู้เรียนแสดงความรู้นั้นออกมาในลักษณะต่างๆเช่นให้วาดภาพแสดงรายละเอียดที่เรียนรู้จากการอ่านบทประพันธ์ในวิชาวรรณคดีเมื่อผู้สอนได้สอนให้เข้าใจโดยการตีความและแปลความแล้วหรือในวิชาที่มีเนื้อหาของการปฏิบัติเมื่อผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แล้วผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้ฝึกให้ทำงานปฏิบัติซ้ำอีกครั้งเพื่อให้เกิดความชำนาญ        ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ผู้สอนควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนแสดงความสามารถในลักษณะต่างๆและเปิดโอกาสให้มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความสามารถเฉพาะที่ผู้เรียนแต่ละคนมีแตกต่างกันนอกจากการใช้เทคนิคการออกคำสั่งให้ผู้เรียนแสดงการทำงานในลักษณะต่างๆแล้วผู้สอนอาจใช้วิธีการสอนบางวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ในสถานการณ์อื่นๆได้เช่นกัน        ตัวอย่างวิธีสอนการสอนโดยใช้โครงงานเป็นฐานผู้สอนเป็นผู้กำกับควบคุมให้ผู้เรียนทุกคนได้ร่วมกันวางแผนดำเนินการตามแผนและร่วมกันสรุปผลงานผู้เรียนแต่ละคนจะได้เลือกและแสดงความสามารถที่ตนเองถนัดเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายจึงสามารถกล่าวขยายความได้ว่าการเรียนรู้โดยใช้ซึ่งสามารถทำอย่างต่อเนื่องกันได้โดยมีประเด็นดังนี้                     1. ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ตนเองสนใจ           2. ผู้เรียนได้เรียนรู้หรือหาคำตอบด้วยตนเองโดยการคิดและปฏิบัติจริง           3. วิธีการหาคำตอบมีความหลากหลายจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย           4. นำข้อมูลหรือข้อความรู้จากการศึกษามาสรุปเป็นคำตอบหรือข้อค้นพบของตนเอง           5. มีระยะเวลาในการศึกษาหรือแสวงหาคำตอบพอสมควร           6. คำตอบหรือข้อค้นพบเชื่อมโยงต่อการพัฒนาความรู้ต่อไป           7. ผู้เรียนมีโอกาสเลือกวางแผนและจัดการนำเสนอคำตอบของปัญหาหรือผลของการค้นพบด้วยวิธีการที่หลากหลายและสอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของตนเอง

การบูรณาการตามตัวชีวัดการประกันคุณภาพการศึกษา        

สำนักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา (2553 หน้า 119-128) การบูรณาการตามตัวชี้วัดการประกันคุณภาพการศึกษามีลักษณะดังนี้ (อ้างถึงในสำนักบริการวิชาการและจัดหารายได้มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร http: / / asLkpru. ac. th / asr / images / FilesUpload / Gather-knowledge-of-document-integration 59. pdf )
           1. การบูรณาการงานวิจัยกับการเรียนการสอนมีการบูรณาการดังนี้               1. 1 กรณีที่นักศึกษาบัณฑิตศึกษาเป็นทีมวิจัยของอาจารย์โดยอาจารย์มีงานวิจัยในลักษณะชุดโครงการวิจัยที่เป็นร่มใหญ่และมีงานวิจัยย่อยๆโดยนักศึกษาเข้าเป็นทีมในการวิจัยของอาจารย์ในชุดย่อยๆและมีอาจารย์ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการชุดใหญ่ให้คำแนะนำปรึกษานักศึกษาจะได้ฝึกฝนกระบวนการวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบทำให้นักศึกษาเกิดทักษะในกระบวนการทำวิจัย               1. 2 กรณีที่นักศึกษาปริญญาตรีทำโครงการวิจัยหรืองานสร้างสรรค์ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานวิจัยหรืองานสร้างสรรค์ของอาจารย์เป็นการออกแบบการเรียนการสอนด้วยการมอบหมายงานนักศึกษาในรูปแบบที่เป็นองค์ประกอบงานวิจัยโดยมีอาจารย์ควบคุมการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ แต่มิใช่รายวิชาวิจัยหรืออาจารย์มีโครงการวิจัยและให้นักศึกษาร่วมเป็นทีมการทำวิจัยที่มีการมอบหมายงานอย่างชัดเจนหรือให้นักศึกษาเป็นผู้ช่วยนักวิจัยในโครงการวิจัย (Under Study Concept) ที่มีแผนการวิจัยชัดเจนว่านักศึกษามีส่วนร่วมในกระบวนการใดบ้างเช่นการทบทวนเอกสารการเก็บข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลซึ่งวิธีนี้ต่างจากวิธีแรกที่นักศึกษาได้เรียนรู้กระบวนการทำวิจัยครบทุกขั้นตอนแต่วิธีที่สองนี้นักศึกษาได้เรียนรู้บางส่วนของการวิจัยเท่านั้นดังนั้นอาจารย์ควรดำเนินการเพิ่มเติมให้นักศึกษาได้เรียนรู้ครบกระบวนการด้วย               1. 3 กรณีที่นักศึกษาทุกระดับปริญญาตรีปริญญาโทและปริญญาเอกเข้าฟังการบรรยายหรือสัมมนาเกี่ยวกับผลความก้าวหน้าในงานวิจัยของอาจารย์หรือเข้าร่วมการจัดแสดงงานสร้างสรรค์ของอาจารย์เพื่อให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์โดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญแต่วิธีการนี้นักศึกษาต้องมีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานอาจทำให้นักศึกษาเข้าร่วมงานได้บางส่วนเท่านั้นอาจารย์ควรมอบหมายงานให้ผู้ที่เข้าร่วมงานสรุปสิ่งที่ได้จากการเข้ารับฟังการบรรยายหรือสัมมนาเกี่ยวกับการวิจัยและนำมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน               1. 4 จัดให้มีการประชุมนำเสนอผลงานวิจัยหรือแสดงงานสร้างสรรค์ของนักศึกษาหรือส่งเสริมนักศึกษาเข้าร่วมประชุมการเสนอผลงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ระดับชาติและนานาชาติ               1. 5 การส่งเสริมให้อาจารย์นำผลลัพธ์ที่เกิดจากการวิจัยไปเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาในการจัดการเรียนการสอนหมายถึงอาจารย์มีผลงานวิจัยที่สอดคล้องกับกับรายวิชาที่สอนและนำองค์ความรู้ที่เป็นข้อค้นพบจากงานวิจัยมาใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนเพราะการวิจัยทำให้มีการค้นพบความรู้ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาทำให้นักศึกษามีความรู้ใหม่ๆอย่างต่อเนื่องในการนำผลงานวิจัยมาใช้สอนนั้นต้องเป็นผลงานวิจัยของอาจารย์ผู้สอนเองไม่สามารถนำผลงานวิจัยของบุคคลอื่นที่เป็นภายนอกมาไม่เรียกว่าเกิดการบูรณาการ           2. การบูรณาการงานบริการวิชาการแก่สังคมการบริการวิชาการหมายถึงกิจกรรมหรือโครงการให้บริการแก่สังคมภายนอกสถาบันหรือเป็นการให้บริการที่จัดในสถาบันแต่ต้องเป็นการจัดให้กับบุคคลภายนอกประเภทของการบริการวิชาการมีดังนี้ประเภทให้เปล่าโดยไม่มุ่งเน้นผลกำไรเป็นลักษณะงานบริการวิชาการหรือกิจกรรมที่จัดเพื่อบริการสังคมโดยมหาวิทยาลัยได้จัดสรรงบประมาณและ / หรือมีองค์กรช่วยสนับสนุนในการลงทุนสำหรับการจัดกิจกรรมและให้ผู้ใช้บริการหรือผู้ร่วมกิจกรรมในการออกค่าใช้จ่ายด้วยอีกส่วนหนึ่งและประเภทหารายได้เป็นลักษณะงานบริการวิชาการหรือกิจกรรมที่จัดเพื่อบริการบุคคลกลุ่มบุคคล / องค์กรภาครัฐและเอกชนโดยผู้เข้าอบรมต้องเสียค่าใช้จ่าย (งานบริการวิชาการมหาวิทยาลัยมหิดล2556) ในการบูรณาการวิชาการแก่สังคมสามารถดำเนินการได้ดังนี้               2. 1 การบูรณาการงานบริการทางวิชาการแก่สังคมกับการเรียนการสอนเป็นการจัดกระบวนการเรียนการสอนปกติและมีการกำหนดให้นักศึกษานำความรู้ที่ได้รับจัดทำเป็นโครงการหรือกิจกรรมไปบริการวิชาการให้กับบุคคลภายนอก               2. 2 การบูรณาการงานบริการทางวิชาการแก่สังคมกับการวิจัยเป็นการนำองค์ความรู้จากงานวิจัยไปสู่การใช้ประโยชน์หรือการนำความรู้ประสบการณ์จากการบริการวิชาการกลับมาพัฒนาต่อยอดความรู้ใหม่โดยผ่านกระบวนการวิจัย          3. การบูรณาการงานด้านทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมกับการจัดการเรียนการสอนสถาบันควรสนับสนุนให้มีการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมไปบูรณาการร่วมกับการเรียนการสอนคือมีการจัดการเรียนการสอนที่นำการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมไปผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนการสอนเมื่อมีการบูรณาการกำหนดให้มีการประเมินความสำเร็จของการบูรณาการและมีการนำผลการประเมินไปปรับปรุงการบูรณาการงานด้านทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมการจัดการเรียนการสอนการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการ        นักการศึกษาไทยได้พยายามที่จะเสนอแนวคิดเพื่อการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนของไทยตลอดมาในหนังสือนี้ได้ประมวลแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนมานำเสนอ ได้แก่           1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี           2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมน อมรวิวัฒน์           3. กระบวนการทางปัญญาโดยประเวศวะสี           4. กระบวนการคิดโดยชัยอนันต์สมุทวณิช           5. กระบวนการคิดโดยเกรียงศักดิ์เจริญวงศ์ศักดิ์           6. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยทิศนาแขมมณีและคณะ           7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรมโดยโกวิทประวาลพฤกษ์           8. กระบวนการต่างๆโดยกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ               8. 1 ทักษะกระบวนการ 9 ขั้น               8. 2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด               8. 3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ               8. 4 กระบวนการแก้ปัญหา               8. 5 กระบวนการสร้างความตระหนัก               8. 6 กระบวนการปฏิบัติ               8. 7 กระบวนการคณิตศาสตร์               8. 8 กระบวนการเรียนภาษา               8. 9 กระบวนการกลุ่ม               8. 10 กระบวนการสร้างเจตคติ               8. 11 กระบวนการสร้างค่านิยม                8. 12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจ          

1. กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 โดย สาโรช บัวศรี      
     สาโรชบัวศรี (2526) มีนักศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและประสบการณ์สูงในวงการศึกษาท่านนี้เป็นผู้ริเริ่มจุดประกายความคิดในการนำหลักพุทธธรรมมาใช้ในการเรียนการสอนมานานกว่า 20 ปีมาแล้วโดยการประยุกต์หลักอริยสัจ 4 อันได้แก่ทุกข์สมุทัยนิโรธและมรรคมาใช้เป็นกระบวนการแก้ปัญหาโดยใช้ควบคู่กับแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่า“ กิจในอริยสัจ 4” อันประกอบด้วยปริญญา (การกำหนดรู้) ปหานะ (การละ) สัจฉิกิริยาการทำให้แจ้ง) และภาวนา (การเจริญหรือการลงมือปฏิบัติ) จากหลักทั้งสองท่านได้เสนอแนะการสอนกระบวนการแก้ปัญหาไว้เป็นขั้นตอนดังนี้               1. ขั้นกำหนดปัญหา (ขั้นทุกข์) คือการให้ผู้เรียนระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข               2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (ขั้นสมุทัย) คือการให้ผู้เรียนวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาและตั้งสมมติฐาน               3. ขั้นทดลองและเก็บข้อมูล (ขั้นนิโรธ) คือการให้ผู้เรียนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานและเก็บรวบรวมข้อมูล               4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล (ขั้นมรรค) คือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุป        

   2. กระบวนการกัลยาณมิตร โดย สุมนอม รวิวัฒน์        
   สุมนอมรวิวัฒน์ (2524: 196-199) ราชบัณฑิตสำนักธรรมศาสตร์และการเมืองสาขาการศึกษาคณะครุศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกิตติเมธีของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้อธิบายกระบวนการกัลยาณมิตรไว้ว่าเป็นกระบวนการประสานสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเพื่อจุดมุ่งหมาย 2 ประการคือ 1. ชี้ทางบรรเทาทุกข์ 2. ชี้สุขเกษมศานติ์กระบวนการกัลยาณมิตรใช้หลักการที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นหลักที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์ได้คือหลักอริยสัจ 4 มาใช้ควบคู่กับหลักกัลยาณมิตรธรรม 7ในการจัดการเรียนการสอนซึ่งมีกระบวนการหรือขั้นตอน 8 ขั้นด้วยกันดังนี้               2. 1 หาสร้างความไว้ใจตามหลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ได้แก่ การที่ผู้สอนวางตนให้เป็นที่น่าเคารพรักเป็นที่พึ่งแก่ผู้เรียนได้มีความรู้และฝึกหัดอบรมและปรับปรุงตนเองอยู่เสมอสามารถสื่อสารชี้แจงให้ศิษย์เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งมีความอดทนพร้อมที่จะรับฟังคำปรึกษาและมีความตั้งใจสอนด้วยความเมตตาช่วยให้ผู้เรียนพ้นจากทางเสื่อม               2. 2 การกำหนดและจับประเด็นปัญหา (ขั้นทุกข์)               2. 3 การร่วมกันคิดวิเคราะห์เหตุของปัญหา (ขั้นสมุทัย)               2. 4 การจัดลำดับความเข้มของระดับปัญหา (ขั้นสมุทัย)               2. 5 การกำหนดจุดหมายหรือสภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)               2. 6 การร่วมกันคิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหา (ขั้นนิโรธ)               2. 7 การจัดลำดับจุดหมายของภาวะพ้นปัญหา (ขั้นนิโรธ)               2. 8 การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาตามแนวทางที่ถูกต้อง (ขั้นมรรค)          

3. กระบวนการทางปัญญา โดย ประเวศ วะสี       
    ประเวศ วะสี (2542) นักคิดคนสำคัญของประเทศไทยผู้มีบทบาทอย่างมากในการกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้นท่านได้เสนอกระบวนการทางปัญญาซึ่งควรฝึกฝนให้แก่ผู้เรียนประกอบด้วยขั้นตอน 10 ขั้นดังนี้        3. 1 ฝึกสังเกตให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตสิ่งต่างๆให้มากให้รู้จักสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัว        3. 2 ฝึกบันทึกให้ผู้เรียนสังเกตสิ่งต่างๆและจดบันทึกรายละเอียดที่สังเกตเห็น        3. 3 ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุมเมื่อผู้เรียนได้ไปสังเกตหรือทำอะไรหรือเรียนรู้อะไรมาให้ฝึกนำเสนอเรื่องนั้นต่อที่ประชุม               3. 4 ฝึกการฟังการฟังผู้อื่นช่วยให้ได้ความรู้มากผู้เรียนจึงควรได้รับการฝึกให้เป็นผู้ฟังที่ดี               3. 5 ฝึกปุจฉา-วิสัชนาให้ผู้เรียนฝึกการถาม – การตอบซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องที่ศึกษารวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผลการวิเคราะห์และการสังเคราะห์              3. 6 ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถามให้ผู้เรียนฝึกคิดและตั้งคำถามเพราะคำถามเป็นเครื่องสำคัญในการได้มาซึ่งความรู้ต่อไปจึงให้ผู้เรียนฝึกตั้งสมมติฐานและหาคำตอบ               3. 7 ฝึกการค้นหาคำตอบเมื่อมีคำถามและสมมติฐานแล้วควรให้ผู้เรียนฝึกค้นหาคำตอบจากแหล่งต่างๆเช่นหนังสือตำราอินเตอร์เน็ตหรือไปสอบถามจากผู้รู้เป็นต้น               3. 8 ฝึกการวิจัยการวิจัยเป็นกระบวนการหาคำตอบที่จะช่วยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ใหม่               3. 9 ฝึกเชื่อมโยงบูรณาการบูรณาการให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเห็นตัวเองเมื่อผู้เรียนเรียนรู้อะไรมาแล้วควรให้ผู้เรียนเชื่อมโยงให้เห็นความเป็นทั้งหมดและเกิดการรู้ตัวเองตามความเป็นจริงว่าสัมพันธ์กับความเป็นทั้งหมดอย่างไรอันจะทำให้เกิดมิติทางจริยธรรมขึ้นช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ               3. 10 ฝึกการเขียนเรียบเรียงทางวิชาการหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องใดแล้วควรให้ผู้เรียนฝึกเรียบเรียงความรู้ที่ได้การเรียบเรียงจะช่วยให้ความคิดประณีตขึ้นทำให้ต้องค้นคว้าหาหลักฐานที่มาของความรู้ให้ถี่ถ้วนแม่นยำขึ้นการเรียบเรียงทางวิชาการเป็นวิธีการสำคัญในการพัฒนาปัญญาของตนและเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้อื่นในวงกว้างออกไป     

      4. กระบวนการคิด โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช           
ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2542: 4-5) นักรัฐศาสตร์และราชบัณฑิตสำนักธรรมศาสตร์และการเมืองและผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยนักคิดผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทยซึ่งหันมาสนใจและพัฒนางานทางด้านการศึกษาอย่างจริงจังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของการคิดไว้ว่าการคิดของคนเรามีหลายรูปแบบโดยท่านได้ยกตัวอย่างมา 4 แบบและได้อธิบายลักษณะของนักคิดทั้ง 4 แบบไว้ซึ่งผู้เขียนจะขอนำมาประยุกต์เป็นแนวทางในการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดของผู้เรียนได้ดังนี้               4. 1 การคิดแบบนักวิเคราะห์ (analytical) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาข้อเท็จจริง (fact) คูตรรกะ (logic) ทิศทาง (direction) หาเหตุผล (reason) และมุ่งแก้ปัญหา (problem solving)
               4. 2 การคิดแบบรวบยอด (conceptual) ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนให้พัฒนาความสามารถในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดวาดภาพในสมองสร้างความคิดใหม่จากข้อมูลที่ถูกต้องแน่นอนหรือมองข้อมูลเพิ่มในแง่มุมใหม่และส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าคิดกล้าทำ               4. 3 การคิดแบบโครงสร้าง (Structural thinking) การฝึกให้ผู้เรียนแยกแยะส่วนประกอบศึกษาส่วนประกอบและเชื่อมโยงข้อมูลจัดเป็นโครงสร้างจะทำให้ผู้เรียนมีการคิดอย่างเป็นระบบสามารถตัดสินว่าควรจะทำอะไรอย่างไร               4. 4 การคิดแบบผู้นำสังคม (social thinking) การฝึกให้ผู้เรียนปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับผู้อื่นทำตนเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ฝึกทักษะกระบวนการทำงานรวมกันเป็นทีม (group process) และฝึกให้คิด 3 ด้านที่เรียกว่า“ PMI” คือด้านบวก (plus) ด้านลบ (minus) และด้านที่ไม่บวกไม่ลบแต่เป็นด้านที่ไม่สนใจ (interesting)
        

   5. มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณี และคณะ     
      ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543) ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการคิดไว้ 6 ด้านคือ           
    5. 1 มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิดการคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วนคือเนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิดคือต้องมีการคิดอะไรควบคู่ไปกับการคิดอย่างไรซึ่งเรื่องหรือข้อมูลที่คิดนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะกำหนดได้อย่างไรก็ตามอาจจัดกลุ่มใหญ่ๆได้เป็น 3 กลุ่มคือข้อมูลเกี่ยวกับตนเองข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลวิชาการ (โกวิทวรวิพัฒน์อ้างถึงในอุ่นตานพคุณ2530: 29 – 36)
               5. 2 มิติด้านคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยต่อการคิด ได้แก่ คุณสมบัติส่วนบุคคลซึ่งมีผลโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการคิดและคุณภาพของการคิดเช่นใจกว้างความใฝ่รู้ความกระตือรือร้นความกล้าเสียงเป็นต้น               5. 3 มิติด้านทักษะการคิดหมายถึงกระบวนการหรือขั้นตอนที่บุคคลใช้ในการคิดซึ่งจัดได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่คือทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (basic thinking skills) ประกอบด้วยทักษะที่ใช้ในการสื่อสารเช่นทักษะการอ่านการพูดการเขียน ฯลฯ ทักษะการคิดที่เป็นแกน (core thinking skills) เช่นทักษะการสังเกตการเปรียบเทียบเชื่อมโยง ฯลฯ และทักษะการคิดขั้นสูง (higher order thinking skill) เช่นทักษะการนิยามการสร้างการสังเคราะห์การจัดระบบ ฯลฯ ทักษะการคิดขั้นสูงมักประกอบด้วยกระบวนการหรือขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าทักษะการคิดขั้นที่ต่ำกว่า               5. 4 มิติด้านลักษณะการคิดเป็นประเภทของการคิดที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งมีความเป็นนามธรรมสูงจำเป็นต้องมีการตีความให้เห็นเป็นรูปธรรมจึงจะสามารถเห็นกระบวนการหรือขั้นตอนการคิดชัดเจนขึ้นเช่นการคิดกว้างการคิดลึกซึ้งการคิดละเอียดเป็นต้น               5. 5 มิติด้านกระบวนการคิดเป็นการคิดที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักหลายขั้นตอนซึ่งจะนำผู้คิดไปสู่เป้าหมายเฉพาะของการคิดนั้นโดยขั้นตอนหลักเหล่านั้นจำเป็นต้องอาศัยทักษะการคิดย่อยๆจำนวนมากบ้างน้อยบ้างกระบวนการคิดแก้ปัญหากระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณกระบวนการวิจัยเป็นต้น               5. 6 มิติด้านการควบคุมและประเมินการคิดของตน (meta-cognition) เป็นกระบวนการที่บุคคลใช้ในการควบคุมกำกับการรู้คิดของตนเองมีผู้เรียกการคิดลักษณะนี้ว่าเป็นการคิดอย่างมียุทธศาสตร์ (Strategic thinking) ซึ่งครอบคลุมการวางแผนการควบคุมกำกับการกระทำของตนเองการตรวจสอบความก้าวหน้าและประเมินผล           นอกจากการนำเสนอมิติการคิดข้างต้นแล้วทิศนาแขมมณีและคณะ (2543) ยังได้นำเสนอกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) ซึ่งเป็นผลจากการสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการคิดทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทยดังรายละเอียดต่อไปนี้      

     กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 
          จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ           เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผลผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างกว้างขวางลึกซึ้งและผ่านการพิจารณากลั่นกรองไตร่ตรองทั้งทางด้านคุณโทษและคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นมาแล้ว           เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ           ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณจะมีความสามารถดังนี้               1. สามารถกำหนดเป้าหมายในการคิดอย่างถูกต้อง               2. สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน               3. สามารถประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเกี่ยวกับที่คิดทั้งทางด้านกว้างทางลึกและไกล               4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้               5. สามารถประเมินข้อมูลได้               6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลและเสนอคำตอบทางเลือกที่สมเหตุสมผลได้               7. สามารถเลือกทางเลือกลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้           วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ               1. ตั้งเป้าหมายในการคิด               2. ระบุประเด็นในการคิด               3. ประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้างลึกและไกล               4. วิเคราะห์จำแนกแยกแยะข้อมูลจัดหมวดหมู่ของข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้               5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้องความเพียงพอและความน่าเชื่อถือ               6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือกคำตอบที่สมเหตุสมผลตามข้อมูลที่มี               7. เลือกทางเลือกที่เหมาสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาและคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น               8. ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียคุณโทษในระยะสั้นและระยะยาว               9. ไตร่ตรองทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ               10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด       
    6. กระบวนการคิด โดย เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์        
   เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2542 ข: 3-4) ผู้อำนวยการสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (ไอเอฟดี) และนักคิดคนสำคัญของประเทศได้อภิปรายไว้ว่าหากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้ไม่เสียเปรียบไม่ถูกหลอกง่ายและสามารถคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาให้คนไทย“ คิดเป็น” คือรู้จักวิธีการคิดที่ถูกต้องและท่านได้เสนอแนะว่าควรมีการพัฒนาความสามารถในการคิดใน 10 มิติให้แก่คนไทยโดยท่านได้ให้ความหมายของการคิดใน 10 มิติดังกล่าวไว้ซึ่งผู้เขียนขอประยุกต์มาใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับครูเพื่อใช้ในการพัฒนาผู้เรียนดังนี้         
      มิติที่ 1 ความสามารถในการคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) สามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดยฝึกให้ผู้เรียนท้าทายและโต้แย้งข้อสมมติฐานที่อยู่เบื้องหลังเหตุผลที่โยงความคิดเหล่านั้นเพื่อเปิดทางสู่แนวความคิดอื่นๆที่อาจเป็นไปได้           
    มิติที่ 2 ความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ (analytical thinking) พัฒนาให้เกิดขึ้นได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนสืบค้นข้อเท็จจริงเพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างโดยการตีความ (interpretation) การจำแนกแยกแยะ (classification) และการทำความเข้าใจ (understanding) กับองค์ประกอบของสิ่งนั้นและองค์ประกอบอื่นๆที่สัมพันธ์กันรวมทั้งเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงเหตุผล (causal relationship) ที่ไม่ขัดแย้งกันระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้นด้วยเหตุผลที่หนักแน่นน่าเชื่อถือ  
             มิติที่ 3 ความสามารถในการคิดเชิงสังเคราะห์ (Synthesis type thinking) และการฝึกให้ผู้เรียนรวมองค์ประกอบที่แยกส่วนกันมาหลอมรวมภายใต้โครงร่างใหม่อย่างเหมาะสมซึ่งจะช่วยพัฒนาผู้เรียนความสามารถของผู้เรียนในการคิดเชิงสังเคราะห์ได้        
       มิติที่ 4 ความสามารถในการคิดเชิงเปรียบเทียบ (comparative thinking) การฝึกให้ผู้เรียนค้นหาความเหมือนและ / หรือความแตกต่างขององค์ประกอบตั้งแต่ 2 องค์ประกอบขึ้นไปเพื่อใช้ในการอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งบนมาตรการ (criteria) เดียวกันเป็นวิธีการช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดเชิงเปรียบเทียบได้ดี       
        มิติที่ 5 ความสามารถในการคิดเชิงมโนทัศน์ (conceptual thinking) ผู้เรียนจะสามารถพัฒนาทักษะในการคิดแบบนี้ได้โดยการฝึกการนำข้อมูลทั้งหมดมาประสานกันและสร้างเป็นกรอบความคิดใหม่ขึ้นมาใช้ในการตีความข้อมูลอื่นๆต่อไป        
       มิติที่ 6 ความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative thinking) ความสามารถด้านนี้พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคิดออกนอกกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่ทำให้ได้แนวทางใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน     
          มิติที่ 7 ความสามารถในการคิดเชิงประยุกต์ (applicative thinking) การคิดประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมากผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกนำสิ่งต่างๆที่มีอยู่เดิมไปใช้ประโยชน์ในวัตถุประสงค์ใหม่และปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมให้เข้ากับบุคคลสถานที่เวลาและเงื่อนไขใหม่ได้อย่างเหมาะสม        
       มิติที่ 8 ความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic thinking) ความสามารถในด้านนี้พัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนกำหนดแนวทางที่เป็นรูปธรรมที่ดีที่สุดภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่างๆเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ        
       มิติที่ 9 ความสามารถในการคิดเชิงบูรณาการ (integrative thinking) คือการฝึกให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเรื่องในมุมต่างๆเข้ากับเรื่องหลักๆได้อย่างเหมาะสม        
       มิติที่ 10 ความสามารถในการคิดเชิงอนาคต (Futuristic thinking) เป็นความสามารถในการคิดขั้นสูงซึ่งสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกให้ผู้เรียนคาดการณ์และประมาณการการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตโดยการใช้เหตุผลทางตรรกวิทยาสมมติฐานข้อมูลและความสัมพันธ์ต่างๆของในอดีตและปัจจุบันเพื่อคาดการณ์ทิศทางหรือขอบเขตทางเลือกที่เหมาะสมอีกทั้งมีพลวัตรสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

           7. กระบวนการสอนค่านิยมและจริยธรรม โดย โกวิท ประวาลพฤกษ์       
    โกวิท ประวาลพฤกษ์ (2532) นักวิชาการคนสำคัญท่านหนึ่งในวงการศึกษาได้เสนอความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาค่านิยมและจริยธรรมไว้ว่าควรเริ่มต้นด้วยการพัฒนาเหตุผลเชิงจริยธรรมและดำเนินการสอนตามขั้นตอนดังนี้               7. 1 กำหนดพฤติกรรมทางจริยธรรมที่พึงปรารถนา               7. 2 เสนอตัวอย่างพฤติกรรมในปัจจุบัน               7. 3 ประเมินปัญหาเชิงจริยธรรม               7. 4 แลกเปลี่ยนผลการประเมิน               7. 5 ฝึกพฤติกรรมโดยมีผลสำเร็จ               7. 6 เพิ่มระดับความขัดแย้ง               7. 7 ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง               7. 8 กระตุ้นให้ผู้เรียนยอมรับตัวเอง      

     8. การจัดการเรียนการสอนเน้นกระบวนการ โดย กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ           กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้เสนอแนะการจัดการเรียนการสอน 12 กระบวนการด้วยกันดังนี้ (กรมวิชาการ 2534)               8. 1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)               8. 2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด               8. 3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ               8. 4 กระบวนการแก้ปัญหา               8. 5 กระบวนการสร้างความตระหนัก               8. 6 กระบวนการปฏิบัติ               8. 7 กระบวนการคณิตศาสตร์               8. 8 กระบวนการเรียนภาษา               8. 9 กระบวนการกลุ่ม               8. 10 กระบวนการสร้างเจตคติ               8. 11 กระบวนการสร้างค่านิยม               8. 12 กระบวนการเรียนรู้ความเข้าใจกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (2534) ได้ให้ความหมายของการสอนที่เน้นกระบวนการไว้ว่าเป็นการสอนที่               ก. สอนให้ผู้เรียนสามารถทำตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ใหม่ๆ               ขสอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะสามารถนำไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ               การสอนกระบวนการจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้เงื่อนไขดังนี้                   1. ครูมีความเข้าใจและใช้กระบวนการนั้นอยู่                   2. ครูนำผู้เรียนผ่านขั้นตอนต่างๆของกระบวนการที่ละขั้นอย่างเข้าใจครบถ้วนครบวงจร                   3. ผู้เรียนเข้าใจและรับรู้ขั้นตอนของกระบวนการนั้น                   4. ผู้เรียนนำกระบวนการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้                   5. ผู้เรียนใช้กระบวนการนั้นในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัยจะเห็นได้ว่ากระบวนการเหล่านี้ผู้สอนจะต้องเป็นผู้วางแผนทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้จนบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ดังนั้นกระบวนการที่ใช้จะเป็นกระบวนการใดก็ย่อมขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การเรียนรู้เป็นสำคัญ          

      8. 1 ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)                  
1. ตระหนักในปัญหาและความจำเป็น                  
     ครูยกสถานการณ์ตัวอย่างและกระตุ้นให้ผู้เรียนตระหนักในปัญหาความจะเป็นของเรื่องที่ศึกษาหรือเห็นประโยชน์และความสำคัญของการศึกษาเรื่องนั้น ๆ โดยครูอาจนำเสนอเป็นกรณีตัวอย่างหรือสถานการณ์ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาความขัดแย้งของเรื่องที่จะศึกษาโดยใช้สื่อประกอบเช่นรูปภาพวิดีทัศน์สถานการณ์จริงกรณีตัวอย่างสไลด์ ฯลฯ          
         2. คิดวิเคราะห์วิจารณ์                       
ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์วิจารณ์ตอบคำถามทำแบบฝึกหัดและให้โอกาสผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล             
      3. สร้างทางเลือกให้หลากหลายให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายโดยร่วมกันคิดเสนอทางเลือกและอภิปรายข้อดีข้อเสียของทางเลือกนั้น         
          4. ประเมินและเลือกทางเลือกให้ผู้เรียนพิจารณาตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหาและร่วมกันสร้างเกณฑ์โดยคำนึงถึงปัจจัยวิธีดำเนินการผลผลิตข้อจำกัดความเหมาะสมกาลเทศะเพื่อใช้ในการพิจารณาเลือกแนวทางการแก้ปัญหาซึ่งอาจใช้วิธีระดมพลังสมองอภิปรายศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ฯลฯ                   5. กำหนดและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ                 
      ให้ผู้เรียนวางแผนในการทำงานของตนเองหรึอหลุ่มโดยอาจใช้ลำดับขั้นการดำเนินงานดังนี้                    
   5. 1 ศึกษาข้อมูลขั้นพื้นฐาน                      
   5. 2 กำหนดวัตถุประสงค์                 
   5. 3 กำหนดขั้นตอนการทำงาน                  
   5. 4 กำหนดผู้รับผิดชอบ (กรณีทำร่วมกันเป็นกลุ่ม)                 
    5. 5 กำหนดระยะเวลาการทำงาน                     
    5. 6 กำหนดวิธีการประเมิน                   

6. ปฏิบัติด้วยความชื่นชมให้ผู้เรียนปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ด้วยความสมัครใจตั้งใจมีความกระตือรือร้นและเพลิดเพลินกับการทำงาน                   
7. ประเมินระหว่างปฏิบัติให้ผู้เรียนสำรวจปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติงานโดยการซักถามอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมีการประเมินผลการปฏิบัติงานตามขั้นตอนและตามแผนงานที่กำหนดไว้โดยสรุปผลการทำงานแต่ละช่วงแล้วเสนอแนวทางการปรับปรุงการทำงานขั้นต่อไป                   
8. ปรับปรุงให้ดีขึ้นอยู่เสมอผู้เรียนนำผลที่ได้จากการประเมินในแต่ละขั้นตอนมาเป็นแนวทางในการพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น                   
9. ประเมินผลรวมเพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจผู้เรียนสรุปผลการดำเนินงานโดยการเปรียบเทียบผลงานกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และผลพลอยได้อื่นๆซึ่งอาจเผยแพร่ขยายผลงานแก่ผู้อื่นด้วยความเต็มใจและภาคภูมิใจ               

8. 2 กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด                   
1. สังเกต
                       ให้ผู้เรียนรับรู้ข้อมูลและศึกษาด้วยวิธีการต่างๆโดยใช้สื่อประกอบเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดข้อกำหนดเฉพาะด้วยตนเอง                   
2. จำแนกความแตกต่าง
                       ให้ผู้เรียนบอกถึงความแตกต่างของสิ่งที่รับรู้และให้เหตุผลในความแตกต่างนั้น                   
3. หาลักษณะร่วม
                       ผู้เรียนมองเห็นความเหมือนในภาพรวมของสิ่งที่รับรู้และสรุปเป็นวิธีการหลักการคำจำกัดความหรือนิยาม                   
4. ระบุชื่อความคิดรวบยอด
                       ผู้เรียนได้ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่รับรู้                   
5. ทดสอบและนำไปใช้
                       ผู้เรียนได้ทดลองทดสอบสังเกตทำแบบฝึกหัดปฏิบัติเพื่อประเมินความรู้

               8. 3 กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ

               กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นความสามารถทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความจำจนถึงขั้นการวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่าตามแนวคิดของบลูม (Bloom) หรือแนวความคิดของกานเย่ (Gagne) ซึ่งเริ่มจากการเรียนรู้สัญลักษณ์ทางภาษาจนเชื่อมโยงเป็นความคิดรวบยอดเป็นกฎเกณฑ์และนำกฎเกณฑ์ไปใช้ผู้สอนควรพยายามใช้เทคนิคต่อไปนี้ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้เป็นขั้นๆอาจจะเลือกใช้เทคนิคใดก่อนหลังก็ได้ขึ้นอยู่กับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ความพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนผ่านขั้นตอนย่อยทุกขั้นตอนดังนี้                 
  1. ขั้นสังเกต
                       ให้ผู้เรียนทำกิจกรรมรับรู้แบบปรนัยให้เกิดความเข้าใจได้ความคิดรวบยอดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆสรุปเป็นใจความสำคัญครบถ้วนตรงตามหลักฐานข้อมูล                   
2. อธิบาย
                       ให้ผู้เรียนตอบคำถามแสดงความคิดเห็นเชิงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่กำหนดเน้นการใช้เหตุผลด้วยหลักการกฎเกณฑ์และอ้างหลักฐานข้อมูลประกอบให้น่าเชื่อถือ                   
3. รับฟัง
                       ให้ผู้เรียนได้ฟังความคิดเห็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อความคิดของตนได้ตอบคำถามโต้ตอบและแสดงความคิดเห็นของตนฝึกให้ผู้เรียนปรับเปลี่ยนความคิดเดิมของตนตามเหตุผลหรือข้อมูลที่ดีโดยไม่ใช้อารมณ์                   
4. เชื่อมโยงความสัมพันธ์
                       ให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่างและความคล้ายคลึงของสิ่งต่างๆให้สรุปจัดกลุ่มสิ่งที่เป็นพวกเดียวกันเชื่อมโยงเหตุการณ์เชิงสาเหตุและผลหากกฎเกณฑ์การเชื่อมโยงในลักษณะอุปมาอุปไมย                   
5. วิจารณ์
                       จัดกิจกรรมให้วิเคราะห์เหตุการณ์คำกล่าวแนวคิดหรือการกระทำแล้วให้จำแนกหาจุดเด่นจุดด้อยส่วนดีส่วนเสียส่วนสำคัญไม่สำคัญจากสิ่งนั้นด้วยการยกเหตุผลหลักการมาประกอบการวิจารณ์                   
6. สรุป
                       จัดกิจกรรมให้พิจารณาส่วนประกอบของการกระทำหรือข้อมูลต่างๆที่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันแล้วให้สรุปผลอย่างตรงและถูกต้องตามหลักฐานข้อมูล
               8. 4 กระบวนการแก้ปัญหา
               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เกิดความคิด
                   1. สังเกต
                       ให้นักเรียนไปศึกษาข้อมูลรับรู้และทำความเข้าใจในปัญหาจนสามารถสรุปและตระหนักในปัญหานั้น
                   2. วิเคราะห์
                       ให้ผู้เรียนได้อภิปรายหรือแสดงความคิดเห็นเพื่อแยกแยะประเด็นปัญหาสภาพสาเหตุและลำดับความสำคัญของปัญหา
                   3. สร้างทางเลือก
                       ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างหลากหลายซึ่งอาจมีการทดลองค้นคว้าตรวจสอบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการทำกิจกรรมกลุ่มและควรมีการกำหนดหน้าที่ในการทำงานให้แก่ผู้เรียนด้วย
                   4. เก็บข้อมูลประเมินทางเลือก
                       ผู้เรียนปฏิบัติตามแผนงานและบันทึกการปฏิบัติงานเพื่อรายงานและตรวจสอบความถูกต้องของทางเลือก      
                   5. สรุป
                       ผู้เรียนสังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเองซึ่งอาจจัดทำในรูปของรายงาน

               8. 5 กระบวนการสร้างความตระหนัก               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้ผู้เรียนให้ความสนใจเอาใจใส่รับรู้เห็นคุณค่าในปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมขั้นตอนการดำเนินการมีดังนี้                   1. สังเกต                       ให้ข้อมูลที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเอาใจใส่และเห็นคุณค่า                   2. วิจารณ์                       ให้ตัวอย่างสถานการณ์ประสบการณ์ตรงเพื่อให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์หาสาเหตุและผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว                   3. สรุป                       ให้อภิปรายหาข้อมูลหรือหลักฐานมาสนับสนุนคุณค่าของสิ่งที่จะต้องตระหนักและวางเป้าหมายที่จะพัฒนาตนเองในเรื่องนั้น

               8. 6 กระบวนการปฏิบัติ               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนปฏิบัติจนเกิดทักษะมีขั้นตอนดังนี้                   1. สังเกตรับรู้                       ให้ผู้เรียนได้เห็นตัวอย่างหลากหลายจนเกิดความเข้าใจและสรุปความคิดรวบยอด                   2. ทำตามแบบ                       ทำตามตัวอย่างที่แสดงให้เห็นทีละขั้นตอนจากขั้นพื้นฐานไปสู่งานที่ซับซ้อนขึ้น                   3. ทำเองโดยไม่มีแบบ                       เป็นการให้ฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตนเอง                   4. ฝึกให้ชำนาญ                       ให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญหรือทำได้โดยอัตโนมัติซึ่งอาจเป็นงานชิ้นเดิมหรืองานที่คิดขึ้นใหม่

               8. 7 กระบวนการคณิตศาสตร์               กระบวนการนี้มี 2 วิธีการคือสอนทักษะทางคิดคำนวณและทักษะแก้ปัญหาโจทย์การสอนทักษะการคิดคำนวณมีขั้นตอนย่อยคือสร้างความคิดรวบยอดของคำนิยามศัพท์สอนกฏโดยวิธีอุปนัย (สอนจากตัวอย่างไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่) ฝึกการวินิจฉัยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง           ส่วนการสอนทักษะแก้ปัญหาโจทย์มีขั้นตอนย่อยคือแปลโจทย์ในเชิงภาษาหาวิธีแก้ปัญหาโจทย์วางแผนปฏิบัติตามขั้นตอนและตรวจสอบคำถาม
               8. 8 กระบวนการเรียนภาษา               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้เกิดการพัฒนาทักษะทางภาษามีขั้นตอนดังนี้                   1. ทำความเข้าใจสัญลักษณ์สื่อรูปภาพรูปแบบเครื่องหมาย                       ผู้เรียนรับรู้เกี่ยวกับความหมายของคำกลุ่มคำประโยคและถ้อยคำสำนวนต่างๆ                   2. สร้างความคิดรวบยอด                       ผู้เรียนเชื่อมโยงความรู้จากประสบการณ์นำมาสู่ความเข้าใจและเกิดภาพรวมเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง                   3. สื่อความหมายความคิด                       ผู้เรียนถ่ายทอดทางภาษาให้ผู้อื่นเข้าใจได้                   4. พัฒนาความสามารถ                       ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขั้นตอนคือความรู้ความจำความเข้าใจการนำไปใช้การวิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า
               8. 9 กระบวนการกลุ่ม               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งให้ผู้เรียนทำงานร่วมกันโดยเน้นกิจกรรมดังนี้                   1. มีผู้นำกลุ่มซึ่งอาจผลัดเปลี่ยนกัน                   2. วางแผนกำหนดวัตถุประสงค์และวิธีการ                   3. รับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกทุกคนบนพื้นฐานของเหตุผล                   4. แบ่งหน้าที่รับผิดชอบเมื่อมีการปฏิบัติ                   5. ติดตามผลการปฏิบัติและปรับปรุง                   6. ประเมินผลรวมและชื่นชมในผลงานของคณะ           
            8. 10 กระบวนการสร้างเจตคติ               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่แทรกได้กับทุกเนื้อหาเน้นความรู้สึกที่ดีต่อกลุ่มที่เรียนอาจเป็นความคิดหลักการการกระทำเหตุการณ์สถานการณ์ ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้                   1. สังเกต                       ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลเหตุการณ์การกระทำที่เกี่ยวข้องกับการมีเจตคติที่ดีและเจตคติที่ไม่ดี                   2. วิเคราะห์                       ผู้เรียนพิจารณาผลที่จะเกิดขึ้นตามมาแยกเป็นการกระทำที่เหมาะสมได้ผลตามที่น่าพอใจและการกระทำที่ไม่เหมาะสมได้ผลที่ไม่น่าพอใจ                   3. สรุป                       ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็นหลักการแนวคิดแนวปฏิบัติ
            8. 11 กระบวนการสร้างค่านิยม               กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเกิดการยอมรับและเห็นคุณค่าของค่านิยมด้วยตนเองมีขั้นตอนดังนี้                   1. สังเกตตระหนัก                       ผู้เรียนพิจารณาการกระทำที่เหมาะสมและการกระทำที่ไม่เหมาสมรับรู้ความหมายจำแนกการกระทำที่แตกต่างกันได้                   2. ประเมินเชิงเหตุผล                       ผู้เรียนใช้กระบวนการอภิปรายกลุ่มแสดงความคิดเห็นวิเคราะห์วิจารณ์การกระทำของตัวละครหรือบุคคลในสถานการณ์ต่างๆว่าเหมาะสมหรือไม่เพราะเหตุใด                   3. กำหนดค่านิยม                       ผู้เรียนแต่ละคนแสดงความเชื่อความพอใจในการกระทำที่ควรกระทำในสถานการณ์ต่างๆพร้อมเหตุผล                   4. วางแผนปฏิบัติ                       ผู้เรียนช่วยกันกำหนดแนวปฏิบัติในสถานการณ์จริงโดยมีครูร่วมรับทราบกติกาการกระทำและสำรวจสิ่งที่ผู้เรียนต้องการจะได้รับเมื่อกระทำดีแล้วเช่นการได้ประกาศชื่อให้เป็นที่ยอมรับ                   5. ปฏิบัติด้วยความชื่นชม                       ครูให้การเสริมแรงระหว่างการปฏิบัติเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความชื่นชมยินดี
            8. 12 กระบวนการเรียนความรู้ความเข้าใจ               กระบวนการนี้ใช้กับการเรียนเนื้อหาเชิงความรู้มีขั้นตอนดังนี้                   1. สังเกตตระหนัก                       ผู้เรียนพิจารณาข้อมูลสาระความรู้เพื่อสร้างความคิดรวบยอดตั้งคำถามตั้งข้อสังเกตสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้และกำหนดเป็นวัตถุประสงค์ที่จะแสวงหาคำตอบต่อไป                   2. วางแผนปฏิบัติ                       ผู้เรียนนำวัตถุประสงค์หรือคำถามที่ทุกคนสนใจจะหาคำตอบมาวางแผนเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม                   3. ลงมือปฏิบัติ                       ครูกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มย่อยๆได้แสวงหาคำตอบจากแหล่งความรู้ด้วยวิธีต่างๆเช่นค้นคว้าสัมภาษณ์ศึกษานอกสถานที่หาข้อมูลจากองค์กรในชุมชน ฯลฯ ตามแผนงานที่วางไว้                   4. พัฒนาความรู้ความเข้าใจ                      ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้มารายงานและอภิปรายเชิงแปลความตีความขยายความนำไปใช้วิเคราะห์สังเคราะห์และประเมินค่า                   5. สรุป                       ผู้เรียนรวบรวมเป็นสาระที่ควรรู้บันทึกลงสมุด               จะเห็นได้ว่ากระบวนการรวมทั้งรูปแบบการเรียนการสอนต่างๆดังได้เสนอไปแล้วข้างต้นมีจำนวนและความหลากหลายพอสมควรซึ่งในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกเป็นจำนวนมากผู้สอนจึงพึงตระหนักว่าศาสตร์ทางการสอนได้ให้แนวคิดแนวทางในการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างหลากหลายพอสมควรหากผู้สอนรู้จักแสวงหาศึกษาเรียนรู้และนำไปทดลองใช้จะสามารถช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมีชีวิตชีวาและมีความหลากหลายไม่จำเจอยู่กับวิธีการหรือกระบวนการเพียงไม่กี่วิธีซึ่งอาจทำให้ทั้งผู้สอนและผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่าย     

สรุป

           การบูรณาการเป็นการนำศาสตร์สาขาวิชาต่างๆที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกันเนื้อหาวิชาต่างๆที่ใกล้เคียงกันหรือเกี่ยวข้องกันควรนำมาเชื่อมโยงกันเพื่อให้เรียนรู้อย่างมีความหมายลดความซ้ำซ้อนเชิงเนื้อหาวิชาแนวคิดสำคัญที่ผู้สอนจะนำมาใช้เป็นเทคนิคในการจัดกิจกรรมกระตุ้นให้ผู้เรียนได้นำข้อมูลหลากหลายที่เกิดจากการเรียนรู้ไปสัมพันธ์เชื่อมโยงก็คือแนวคิดเกี่ยวกับ“ การบูรณาการ” เหตุที่ต้องจัดให้มีการบูรณาการหลักสูตรและการเรียนการสอนคือในชีวิตของคนเรามีเรื่องราวต่างๆที่สัมพันธ์ซึ่งกันและกันไม่ได้แยกออกจากกันเป็นเรื่องๆเมื่อมีการบูรณาการเข้ากับชีวิตจริงโดยการเรียนรู้ในสิ่งที่ใกล้ตัวแล้วขยายกว้างออกไปผู้เรียนจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นและเรียนรู้อย่างมีความหมายเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ความคิดความสามารถและทักษะที่หลากหลาย

ตรวจสอบและทบทวน
           ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้นการบรณาการความรู้ปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยการสร้างและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนขึ้นจากความรู้ความคิดและประสบการณ์ของตนหรือประยุกต์จากทฤษฎีและหลักการทั้งของไทยและต่างประเทศเพื่อการพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในการคิดการเผชิญสถานการณ์การตัดสินใจและการแก้ปัญหาการพัฒนาทางด้านค่านิยมจริยธรรมเจตคติต่าง ๆ การพัฒนาทางด้านการคิดการปฏิสัมพันธ์และการทำงานเป็นกลุ่มรวมทั้งการปฏิบัติและการแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษา พ. ศ. 2542

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น