7.8


มิติการคิดและกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดย ทิศนา แขมมณี และคณะ

ได้ศึกษาค้นคว้าและจัดมิติของการคิดไว้ 6 ด้านคือ
                1 มิติด้านข้อมูลหรือเนื้อหาที่ใช้ในการคิดการคิดของบุคคลจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 2 ส่วนคือเนื้อหาที่ใช้ในการคิดและกระบวนการคิดคือต้องมีการคิดอะไรควบคู่ไปกับการคิดอย่างไรซึ่งเรื่องหรือข้อมูลที่คิดนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะกำหนดได้อย่างไรก็ตามอาจจัดกลุ่มใหญ่ๆได้เป็น 3 กลุ่มคือข้อมูลเกี่ยวกับตนเองข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อมและข้อมูลวิชาการ (โกวิทวรวิพัฒน์อ้างถึงในอุ่นตานพคุณ2530: 29 – 36)
                2 มิติด้านคุณสมบัติที่เอื้ออำนวยต่อการคิด ได้แก่ คุณสมบัติส่วนบุคคลซึ่งมีผลโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการคิดและคุณภาพของการคิดเช่นใจกว้างความใฝ่รู้ความกระตือรือร้นความกล้าเสียงเป็นต้น
                3 มิติด้านทักษะการคิดหมายถึงกระบวนการหรือขั้นตอนที่บุคคลใช้ในการคิดซึ่งจัดได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่คือทักษะการคิดขั้นพื้นฐาน (basic thinking skills) ประกอบด้วยทักษะที่ใช้ในการสื่อสารเช่นทักษะการอ่านการพูดการเขียน ฯลฯ ทักษะการคิดที่เป็นแกน (core thinking skills) เช่นทักษะการสังเกตการเปรียบเทียบเชื่อมโยง ฯลฯ และทักษะการคิดขั้นสูง (higher order thinking skill) เช่นทักษะการนิยามการสร้างการสังเคราะห์การจัดระบบ ฯลฯ ทักษะการคิดขั้นสูงมักประกอบด้วยกระบวนการหรือขั้นตอนที่ซับซ้อนมากกว่าทักษะการคิดขั้นที่ต่ำกว่า
                4 มิติด้านลักษณะการคิดเป็นประเภทของการคิดที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งมีความเป็นนามธรรมสูงจำเป็นต้องมีการตีความให้เห็นเป็นรูปธรรมจึงจะสามารถเห็นกระบวนการหรือขั้นตอนการคิดชัดเจนขึ้นเช่นการคิดกว้างการคิดลึกซึ้งการคิดละเอียดเป็นต้น
                5 มิติด้านกระบวนการคิดเป็นการคิดที่ประกอบไปด้วยขั้นตอนหลักหลายขั้นตอนซึ่งจะนำผู้คิดไปสู่เป้าหมายเฉพาะของการคิดนั้นโดยขั้นตอนหลักเหล่านั้นจำเป็นต้องอาศัยทักษะการคิดย่อยๆจำนวนมากบ้างน้อยบ้างกระบวนการคิดแก้ปัญหากระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณกระบวนการวิจัยเป็นต้น
                6 มิติด้านการควบคุมและประเมินการคิดของตน (meta-cognition) เป็นกระบวนการที่บุคคลใช้ในการควบคุมกำกับการรู้คิดของตนเองมีผู้เรียกการคิดลักษณะนี้ว่าเป็นการคิดอย่างมียุทธศาสตร์ (Strategic thinking) ซึ่งครอบคลุมการวางแผนการควบคุมกำกับการกระทำของตนเองการตรวจสอบความก้าวหน้าและประเมินผล
           นอกจากการนำเสนอมิติการคิดข้างต้นแล้วทิศนาแขมมณีและคณะ (2543) ยังได้นำเสนอกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical thinking) ซึ่งเป็นผลจากการสังเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการคิดทั้งของต่างประเทศและของประเทศไทยดังรายละเอียดต่อไปนี้
           กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
           จุดมุ่งหมายของการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
           เพื่อให้ได้ความคิดที่รอบคอบสมเหตุสมผลผ่านการพิจารณาปัจจัยรอบด้านอย่างกว้างขวางลึกซึ้งและผ่านการพิจารณากลั่นกรองไตร่ตรองทั้งทางด้านคุณโทษและคุณค่าที่แท้จริงของสิ่งนั้นมาแล้ว
           เกณฑ์ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
           ผู้ที่คิดอย่างมีวิจารณญาณจะมีความสามารถดังนี้
               1. สามารถกำหนดเป้าหมายในการคิดอย่างถูกต้อง
               2. สามารถระบุประเด็นในการคิดอย่างชัดเจน
               3. สามารถประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเกี่ยวกับที่คิดทั้งทางด้านกว้างทางลึกและไกล
               4. สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะใช้ในการคิดได้
               5. สามารถประเมินข้อมูลได้
               6. สามารถใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลและเสนอคำตอบทางเลือกที่สมเหตุสมผลได้
               7. สามารถเลือกทางเลือกลงความเห็นในประเด็นที่คิดได้
           วิธีการหรือขั้นตอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
               1. ตั้งเป้าหมายในการคิด
               2. ระบุประเด็นในการคิด
               3. ประมวลข้อมูลทั้งทางด้านข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่คิดทั้งทางกว้างลึกและไกล
               4. วิเคราะห์จำแนกแยกแยะข้อมูลจัดหมวดหมู่ของข้อมูลและเลือกข้อมูลที่จะนำมาใช้
               5. ประเมินข้อมูลที่จะใช้ในแง่ความถูกต้องความเพียงพอและความน่าเชื่อถือ
               6. ใช้หลักเหตุผลในการพิจารณาข้อมูลเพื่อแสวงหาทางเลือกคำตอบที่สมเหตุสมผลตามข้อมูลที่มี
               7. เลือกทางเลือกที่เหมาสมโดยพิจารณาถึงผลที่จะตามมาและคุณค่าหรือความหมายที่แท้จริงของสิ่งนั้น
               8. ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียคุณโทษในระยะสั้นและระยะยาว
               9. ไตร่ตรองทบทวนกลับไปมาให้รอบคอบ
               10. ประเมินทางเลือกและลงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่คิด



อ้างอิง  ทิศนา แขมมณี และคณะ (2543)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น